วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ระบบเครือข่ายไร้สาย (4122102)
ระบบเครือข่ายไร้สาย (Wireless LAN : WLAN) หมายถึง เทคโนโลยีที่ช่วยให้การติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง หรือกลุ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารกันได้ ร่วมถึงการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่ายคอมพิวเตอร์ด้วยเช่นกัน โดยปราศจากการใช้สายสัญญาณในการเชื่อมต่อ แต่จะใช้คลื่นวิทยุเป็นช่องทางการสื่อสารแทน การรับส่งข้อมูลระหว่างกันจะผ่านอากาศ ทำให้ไม่ต้องเดินสายสัญญาณ และติดตั้งใช้งานได้สะดวกขึ้น
ระบบเครือข่ายไร้สายใช้แม่เหล็กไฟฟ้าผ่านอากาศ เพื่อรับส่งข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่าย โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้อาจเป็นคลื่นวิทย (Radio) หรืออินฟาเรด (Infrared) ก็ได้ การสื่อสารผ่านเครือข่ายไร้สายมีมาตราฐาน IEEE802.11 เป็นมาตราฐานกำหนดรูปแบบการสื่อสาร ซึ่งมาตราฐานแต่ละตัวจะบอกถึงความเร็วและคลื่นความถี่สัญญาณที่แตกต่างกันในการสื่อสารข้อมูล เช่น 802.11b และ 802.11g ที่ความเร็ว 11 Mbps และ 54 Mbps ตามลำดับ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมศึกษาได้จาก มาตราฐาน IEEE802.11 และขอบเขตของสัญญาณคลอบคุลพื้นที่ประมาณ 100 เมตร ในพื้นที่โปรง และประมาณ 30 เมตร ในอาคาร ซึ่งระยะทางของสัญญาณมีผลกระทบจากสิ่งรอบข้างหลายๆ อย่าง เช่น โทรศัพท์มือถือ ความหนาของกำแพง เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ต่างๆ รวมถึงร่างกายมนุษย์ด้วยเช่นกัน สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อการใช้งานเครือข่ายไร้สายทั้งสิ้น การเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายมี 2 รูปแบบ คือแบบ Ad-Hoc และ Infrastructure รายละเอียดเพิ่มเติมศึกษาได้จาก รูปแบบเครือข่ายไร้สาย การใช้งานเครือข่ายไร้สายของผู้ใช้บริการทั่วไปจะเป็นแบบ Infrastructure คือมีอุปกรณ์กระจายสัญญาณ (Access Point) ของผู้ให้บริการเป็นผู้ติดตั้งและกระจายสัญญาณ ให้ผู้ใช้ทำการเชื่อมต่อ โดยผู้ใช้บริการจะต้องมีอุปกรณ์รับส่งสัญญาณขอเรียกว่า "การ์ดแลนไร้สาย" เป็นอุปกรณ์รับส่งสัญญาณ ทำหน้าที่รับส่งสัญญาณจากเครื่องคอมพิวเตอร์ผู้ใช้ไป Access Point ของผู้ให้บริการ สรุปการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายเป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายของเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าสู่ระบบเครือข่าย เหมือนกับระบบแลน (LAN) มีสายปกติ แตกต่างที่อุปกรณ์ทางกายภาพในการเชื่อมต่อเครือข่ายไม่ต้องใช้สายสัญญาณแต่อย่างใด โดยการใช้งานเครือข่ายไร้สายสามารถใช้บริการต่างๆ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้เหมือนเครือข่ายมีสายได้ปกติ เว้นแต่ว่าผู้ดูแลระบบเครือข่ายนั้นๆ จะปิดบริการบางบริการเพื่อความปลอดภัยของเครือข่ายได้เช่นกัน ซึ่งการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายช่วยให้การเชื่อมต่อง่ายขึ้น ประหยัดค่าสายสัญญาณ และใช้งานได้ทุกที่ที่สัญญาณเครือข่ายไร้สายไปถึง...
2. จงอธิบายรายละเอียดของมาตรฐาน IEEE802.11g
• มาตรฐาน IEEE802.11g มาตรฐานนี้เป็นมาตรฐานใหม่ที่ความถี่ 2.4 GHz โดยสามารถรับส่งข้อมูลที่ความเร็ว 36 -54 Mbps ซึ่งเป็นความเร็วที่สูงกว่ามาตรฐาน 802.11b ซึ่ง 802.11g สามารถปรับระดับความเร็วในการสื่อสารลงเหลือ 2 Mbps ได้ (ตามสภาพแวดล้อมของเครือข่ายที่ใช้งาน) มาตราฐานนี้เป็นที่ยอมรับจากผู้ใช้เป็นจำนวนมากและกำลังจะเข้ามาแทนที่ 802.11b ในอนาคตอันใกล้ นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นนี้มีบางผลิตภัณฑ์ใช้เทคโนโลยีเฉพาะตัวเข้ามาเสริมทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นจาก 54 Mbps เป็น 108 Mbps แต่ต้องทำงานร่วมกันเฉพาะอุปกรณ์ที่ผลิตจากบริษัทเดียวกันเท่านั้น ซึ่งความสามารถนี้เกิดจากชิป (Chip) กระจายสัญญาณของตัวอุปกรณ์ที่ผู้ผลิตบางรายสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการรับส่งสัญญาณเป็น 2 เท่าของการรับส่งสัญญาณได้ แต่ปัญหาของการกระจายสัญญาณนี้จะมีผลทำให้อุปกรณ์ไร้สายในมาตราฐาน 802.11b มีประสิทธิภาพลดลงด้วยเช่นกัน ด้านล่างเป็นตารางมาตราฐาน IEEE802.11 ของเครือข่ายไร้สาย
3. จงเปรียบเทียบเครือข่ายไร้สายมาตรฐาน IEEE802.11a และ IEEE802.11b
มาตราฐาน IEEE802.11
Institute of Electrical and Electronics Engineers (IEEE) เป็นสถาบันที่กำหนดมาตรฐานการทำงานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ได้กำหนดมาตรฐานสำหรับเครือข่ายไร้สายขึ้น คือมาตรฐาน IEEE802.11a, b, และ g ตามลำดับขึ้น ซึ่งแต่ละมาตราฐานมีความเร็วและคลื่นความถี่สัญญาณที่แตกต่างกันในการสื่อสารข้อมูล มีรายละเอียดดังนี้
• มาตราฐาน IEEE802.11a เป็นมาตรฐานระบบเครือข่ายไร้สายที่มีประสิทธิภาพสูง ทำงานที่ย่านความถี่ 5 GHz มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลที่ 54 Mbps ที่ความเร็วนี้สามารถทำการแพร่ภาพและข่าวสารที่ต้องการความละเอียดสูงได้ อัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสามารถปรับระดับให้ช้าลงได้ เพื่อเพิ่มระยะทางการเชื่อมต่อให้มากขึ้น เช่น 54, 48, 36, 24 และ 11 เมกกะบิตเป็นต้น ในขณะที่คลื่นความถี่ 5 GHz นี้ยังไม่ได้ใช้งานอย่างแพร่หลาย ดังนั้นปัญหาการรบกวนคลื่นความถี่จึงมีน้อย ต่างจากคลื่นความถี่ 2.4 GHz ที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายทำให้สัญญาณของคลื่นความถี่ 2.4 GHz ถูกรบกวนจากอุปกรณ์ประเภทอื่นที่ใช้คลื่นความถี่เดียวกันได้ ระยะทางการเชื่อมต่อประมาณ 300 ฟิตจากจุดกระจายสัญญาณ Access Point หากเทียบกับมาตรฐาน 802.11b แล้ว ระยะทางจะได้น้อยกว่า 802.11b ที่คลื่นความถี่ต่ำกว่า และทั้ง 2 มาตรฐานนี้ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ ขณะที่ประเทศไทยไม่อนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ 5 GHz จึงไม่เห็นอุปกรณ์ WLAN มาตรฐาน 802.11a จำหน่ายในประเทศไทย แต่ความเร็ว 54 Mbps สามารถใช้งานได้ที่มาตรฐาน 802.11b ที่จะกล่าวถึงต่อไป
• มาตรฐาน IEEE802.11b 802.11b เป็นมาตราฐานที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั้งต่างประเทศและในประเทศไทย เป็นมาตรฐาน WLAN ที่ทำงานที่คลื่นความถี่ 2.4 GHz (คลื่นความถี่นี้สามารถใช้งานในประเทศไทยได้) มีความสามารถในการรับส่งข้อมูลที่ความเร็ว 11 Mbps ปัจจุบันผลิตภัณฑ์อุปกรณ์เครือข่ายไร้สายภายใต้มาตราฐานนี้ถูกผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก และที่สำคัญแต่ละผลิตภัณฑ์มีความสามารถทำงานร่วมกันได้ อุปกรณ์ของผู้ผลิตทุกยี่ห้อต้องผ่านการตรวจสอบจากสถาบัน Wi-Fi Alliance เพื่อตรวจสอบมาตรฐานของอุปกรณ์และความเข้ากันได้ของแต่ละผู้ผลิต ปัจจุบันนี้นิยมนำอุปกรณ์ WLAN ที่มาตรฐาน 802.11b ไปใช้ในองค์กรธุรกิจ สถาบันการศึกษา สถานที่สาธารณะ และกำลังแพร่เข้าสู่สถานที่พักอาศัยมากขึ้น มาตรฐานนี้มีระบบเข้ารหัสข้อมูลแบบ WEP ที่ 128 บิต
4. ISM band คืออะไร จงอธิบาย
ISM ย่อมาจาก Industrial Sciences Medicine หรือคลื่นความถี่สาธารณะสำหรับอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ และการแพทย์ โดยย่านความถี่สำหรับคลื่นวิทยุในโลกนี้ จัดได้ว่ามีการควบคุมการเป็นเจ้าของหรือใช้งาน ซึ่งงานวิจัยสำหรับการขอคลื่นความถี่มาใช้งานทำได้ค่อนข้างยาก จึงมีการตั้ง ISM band นี้ขึ้นมาสำหรับการวิจัยโดยเฉพาะ โดยแบ่งเป็นสามย่านความถี่ คือ 900 เมกะเฮิรตซ์, 2.4 กิกะเฮิรตซ์ และ 5.7 กิกะเฮิรตซ์ สำหรับ Wireless Network 802.11 จะใช้สองย่านความถี่หลัง แต่เนื่องจากความถี่ 5.7 กิกะเฮิรตซ์ นั้น มีการยอมให้ใช้ได้เฉพาะบางประเทศเท่านั้น (ส่วนที่เหลืออาจจะถูกจัดสรรไปให้กับองค์กรต่างๆ ก่อนจะมีการประกาศ ISM Band ออกมา) ทำให้มาตรฐาน a ไม่สามารถใช้งานได้ในประเทศบางประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย เราจึงใช้งานได้เฉพาะ 802.11b และ g เท่านั้น (การพัฒนามาตรฐาน g ก็มาจากเหตุผลนี้เช่นกัน)
5. Architecture (Topology โทโพโลยี) ของ WLAN มีอะไรบ้างอธิบาย
ประเภทการเชื่อมต่อ
การเชื่อมระบบ WLAN มักจะเชื่อมกันกันในบริเวณใกล้ๆ หรือ อาคารเดียวกันมีการเชื่อมอยู่ 5 ประเภท
1. Peer-to-peer (ad hoc mode)
Peer to Peer เป็นลักษณะ การเชื่อมต่อแบบโครงข่ายโดยตรงระหว่างคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องหรือมากกว่านั้น เป็นการใช้งานร่วมกันของ wireless adapter cards โดยไม่ได้มีการเชื่อมต่อกับเครือข่ายแบบใช้สายเลย
2. Client/server (Infrastructure mode)
ระบบเครือข่ายไร้สายแบบ Client / server หรือ Infrastructure mode เป็นลักษณะการรับส่งข้อมูลโดยอาศัย Access Point (AP) หรือเรียกว่า “Hot spot” ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างระบบเครือข่ายแบบใช้สายกับเครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่าย (client) โดยจะกระจายสัญญาณคลื่นวิทยุเพื่อ รับ-ส่งข้อมูลเป็นรัศมีโดยรอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในรัศมีของ AP จะกลายเป็น เครือข่ายกลุ่มเดียวกันทันที โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ จะสามารถติดต่อกัน หรือติดต่อกับ Server เพื่อแลกเปลี่ยนและค้นหาข้อมูลได้ โดยต้องติดต่อผ่านAP เท่านั้น ซึ่ง AP 1 จุด สามารถให้บริการเครื่องลูกข่ายได้ถึง 15-50 อุปกรณ์ ของเครื่องลูกข่าย
3. Multiple access points and roaming
การเชื่อมต่อสัญญาณระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ กับ Access Point ของเครือข่ายไร้สายจะอยู่ในรัศมีประมาณ 500 ฟุต ภายในอาคาร และ 1000 ฟุต ภายนอกอาคาร หากสถานที่ที่ติดตั้งมีขนาดกว้าง มากๆ เช่นคลังสินค้า บริเวณภายในมหาวิทยาลัย สนามบิน จะต้องมีการเพิ่มจุดการติดตั้ง AP ให้มากขึ้น เพื่อให้การรับส่งสัญญาณในบริเวณของเครือข่ายขนาดใหญ่ เป็นไปอย่างครอบคลุมทั่วถึง
4. Use of an Extension Point
กรณีที่โครงสร้างของสถานที่ติดตั้งเครือข่ายแบบไร้สายมีปัญหาผู้ออกแบบระบบอาจจะใช้ Extension Points ที่มีคุณสมบัติเหมือนกับ Access Point แต่ไม่ต้องผูกติดไว้กับเครือข่ายไร้สาย
5. The Use of Directional Antennas
ระบบแลนไร้สายแบบนี้เป็นแบบใช้เสาอากาศในการรับส่งสัญญาณระหว่างอาคารที่อยู่ห่างกัน โดยการติดตั้งเสาอากาศที่แต่ละอาคาร เพื่อส่งและรับสัญญาณระหว่างกัน
6. จงอธิบายความหมายของ BSS , ESS , Access point ถึงหน้าที่และส่วนที่เกี่ยวข้อง
1. Basic Service Set (BSS)
Basic Service Set (BSS) หมายถึงบริเวณของเครือข่าย IEEE 802.11 WLAN ที่มีสถานีแม่ข่าย 1 สถานี ซึ่งสถานีผู้ใช้ภายในขอบเขตของ BSS นี้ทุกสถานีจะต้องสื่อสารข้อมูลผ่านสถานีแม่ข่ายดังกล่าวเท่านั้น
2. Extended Service Set (ESS)
Extended Service Set (ESS) หมายถึงบริเวณของเครือข่าย IEEE 802.11 WLAN ที่ประกอบด้วย BSS มากกว่า 1 BSS ซึ่งได้รับการเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน สถานีผู้ใช้สามารถเคลื่อนย้ายจาก BSS หนึ่งไปอยู่ในอีก BSS หนึ่งได้โดย BSS เหล่านี้จะทำการ Roaming หรือติดต่อสื่อสารกันเพื่อทำการโอนย้ายการให้บริการสำหรับสถานีผู้ใช้ดังกล่าว
3. Access point คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่คล้ายคลึงกับ switching hub ของระบบเครือข่ายปกติ โดย Access Point ทำหน้าที่รับส่งข้อมูลทางคลื่นความถี่กับ Wireless Card ซึ่งติดตั้งบนเครื่องของผู้ใช้แต่ละคน
ROUTER (เครือข่ายคอมพิวเตอร์ฯ 4122102)
ความหมายของ Router อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระบบเครือข่ายหลายระบบเข้าด้วยกัน คล้ายกับบริดจ์ แต่มีส่วนการ ทำงานที่ซับซ้อนมากกว่าบริดจ์มากโดยเราท์เตอร์จะมีเส้นทางการเชื่อมโยงระหว่าง แต่ละเครือข่ายเก็บไว้เป็นตารางเส้นทาง เรียกว่า Routing Table ทำให้เราท์เตอร์สามารถทำหน้าที่จัดหาเส้นทาง และเลือกเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดในการเดินทาง เพื่อการติดต่อระหว่างเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. อธิบายการทำงานของ Router
การทำงานของ Router
Router หน้าที่หลักของคือ การอ้างอิงไอพีแอดเดรสระหว่างเครื่องลูกข่ายที่อยู่กันคนละเครือข่าย รวมที่ทั้งการเลือกและจัดเส้นทางที่ดีที่สุด เพื่อนำข้อมูลข่าวสาร ในรูปแบบของแพ็กเกจจากเครื่องลูกข่ายต้นทางบนเครือข่ายที่ตนดูแลอยู่ไปยังเครื่องลูกข่ายที่อยู่กันคนละเครือข่าย
หน้าที่ของเราเตอร์คือ จัดแบ่งเครือข่ายและเลือกเส้นทางที่เหมาะสมเพื่อนำส่งแพ็กเก็ต เราเตอร์จะป้องกันการบรอดคาสต์แพ็กเก็ตจากเครือข่ายหนึ่งไม่ให้ข้ามมายังอีกเครือข่ายหนึ่ง เมื่อเราเตอร์รับข้อมูลเป็นแพ็กเก็ตเข้ามาตรวจสอบแอดเดรสปลายทางแล้ว จากนั้นนำมาเปรียบเทียบกับตารางเส้นทางที่ได้รับการโปรแกรมไว้ เพื่อหาเส้นทางที่ส่งต่อ หากเส้นทาง ที่ส่งมาจากอีเทอร์เน็ต และส่งต่อออกช่องทางของ Port WAN ที่เป็นแบบจุดไปจุดก็จะมีการปรับปรุงรูปแบบสัญญาณให้เข้ากับมาตรฐานใหม่ เพื่อส่งไปยังเครือข่าย WAN ได้
3. Routing Protocol คืออะไร
Routing Protocol : โปรโตคอลเลือกเส้นทาง
Routing Protocol คือโพรโทคอลที่ใช้ในการแลกเปลี่ยน routing table ระหว่างอุปกรณ์เครือข่ายต่างๆที่ทำงานในระดับ Network Layer (Layer 3) เช่น Router เพื่อให้อุปกรณ์เหล่านี้สามารถส่งข้อมูล (IP packet) ไปยังคอมพิวเตอร์ปลายทางได้อย่างถูกต้อง โดยที่ผู้ดูแลเครือข่ายไม่ต้องแก้ไขข้อมูล routing table ของอุปกรณ์ต่างๆตลอดเวลา เรียกว่าการทำงานของ Routing Protocol ทำให้เกิดการใช้งาน dynamic routing ต่อระบบเครือข่าย
4. อธิบายการเลือกเส้นทางแบบ static และ dynamic
การเลือกเส้นทางแบบ Static Route
การเลือกเส้นทางแบบ Static นี้ การกำหนดเส้นทางการคำนวณเส้นทางทั้งหมด กระทำโดยผู้บริหารจัดการเครือข่าย ค่าที่ถูกป้อนเข้าไปในตารางเลือกเส้นทางนี้มีค่าที่ตายตัว ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใดๆ บนเครือข่าย จะต้องให้ผู้บริหารจัดการดูแล เครือข่าย เข้ามาจัดการทั้งสิ้น
อย่างไรก็ดีการใช้ วิธีการทาง Static เช่นนี้ มีประโยชน์เหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมดังนี้
- เหมาะสาหรับเครือข่ายที่มีขนาดเล็ก
- เพื่อผลแห่งการรักษาความปลอดภัยข้อมูล เนื่องจากสามารถแน่ใจว่า ข้อมูลข่าวสารจะต้องวิ่งไปบนเส้นทางที่กำหนดไว้ให้ ตายตัว
- ไม่ต้องใช้ Software เลือกเส้นทางใดๆทั้งสิ้น
- ช่วยประหยัดการใช้ แบนวิดท์ของเครือข่ายลงได้มาก เนื่องจากไม่มีปัญหาการ Broadcast หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าง Router ที่มาจากการใช้โปรโตคอลเลือกเส้นทาง
การเลือกเส้นทางแบบ Dynamic Route
การเลือกเส้นทางแบบ Dynamic นี้ เป็นการใช้ ซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งมากับ Router เพื่อทำหน้าที่แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการเลือกเส้นทางระหว่าง Router โดยที่เราเรียกว่า โปรโตคอลเลือกเส้นทาง (Routing Protocol) ข้อดีของการใช้ Routing Protocol ได้แก่ การที่ Router สามารถใช้ Routing Protocol นี้เพื่อการสร้างตารางเลือกเส้นทางจากสภาวะของเครือข่ายในขณะนั้น
ประโยชน์ของการใช้ Routing Protocol มีดังนี้
- เหมาะสาหรับเครือข่ายขนาดใหญ่
- Router สามารถจัดการหาเส้นทางเองหากมีการเปลี่ยนแปลงของเครือข่ายเกิดขึ้น
ข้อแตกต่างระหว่าง Static Route กับ Dynamic
Static Route
- ไม่เพิ่มการทางานของ Router ในการ Update Routing Table ทาให้ Bandwidth ก็ไม่เพิ่มขึ้น
- มีความปลอดภัยมากกว่า Dynamic Route เพราะ Dynamic Route เมื่อมีใครมาเชื่อมต่ออุปกรณ์ก็สามารถจะใช้งานได้เลย ไม่ตรงผ่านผู้ดูแลระบบ
- Static Route จะใช้ในการสร้างเส้นทางสารองมากกว่าการสร้างเส้นทางหลัก
Dynamic Route
- ไม่ต้องทา Routing entry ทุก Subnet Address ที่ต้องการให้มองเห็น
- สามารถตรวจสอบสถานะของ Link ได้ เช่น การ Down ลงไปของ Link
5. อธิบายการเลือกเส้นทางแบบ Link State และ Distance Vector
Link-state Routing Protocol ลักษณะกลไกการทำงานแบบ Link-state routing protocol คือตัว Router จะ Broadcast ข้อมูลการเชื่อมต่อของเครือข่ายตนเองไปให้ Router อื่นๆทราบ ข้อมูลนี้เรียกว่า Link-state ซึ่งเกิดจากการคำนวณ Router ที่จะคำนวณค่าในการเชื่อมต่อโดยพิจารณา Router ของตนเองเป็นหลักในการสร้าง routing table ขึ้นมา ดังนั้นข้อมูล Link-state ที่ส่งออกไปในเครือข่ายของแต่ละ Router จะเป็นข้อมูลที่บอกว่า Router นั้นๆมีการเชื่อมต่ออยู่กับเครือข่ายใดอย่างไร และเส้นทางการส่งที่ดีที่สุดของตนเองเป็นอย่างไร โดยไม่สนใจ Router อื่น และกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงภายในเครือข่าย เช่น มีบางวงจรเชื่อมโยงล่มไปที่จะมีการส่งข้อมูลเฉพาะที่มีการเปลี่ยนแปลงไปให้ ซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มากตัวอย่างโปรโตคอลที่ใช้กลไกแบบ Link-state ได้แก่ โปรโตคอล OSPF (Open Shortest Path First) สำหรับ Interior routing protocol นี้บางแห่งก็เรียกว่า Intradomain routing protocol
Distance-vector Routing Protocol ลักษณะที่สำคัญของการติดต่อแบบ Distance-vector คือ ในแต่ละ Router จะมีข้อมูล routing table เอาไว้พิจารณาเส้นทางการส่งข้อมูล โดยพิจารณาจากระยะทางที่ข้อมูลจะไปถึงปลายทางเป็นหลัก ดังรูป
จากรูป Router A จะทราบว่าถ้าต้องการส่งข้อมูลข้ามเครือข่ายไปยังเครื่องที่อยู่ใน Network B แล้วนั้น ข้อมูลจะข้าม Router ไป 1 ครั้ง หรือเรียกว่า 1 hop ในขณะที่ส่งข้อมูลไปยังเครื่องใน Network C ข้อมูลจะต้องข้ามเครือข่ายผ่าน Router A ไปยัง Router B เสียก่อน ทำให้การเดินทางของข้อมูลผ่านเป็น 2 hop อย่างไรก็ตามที่ Router B จะมองเห็น Network B และ Network C อยู่ห่างออกไปโดยการส่งข้อมูล 1 hop และ Network A เป็น2 hop ดังนั้น Router A และ Router B จะมองเห็นภาพของเครือข่ายที่เชื่อมต่ออยู่แตกต่างกันเป็นตารางข้อมูล routing table ของตนเอง จากรูปการส่งข้อมูลตามลักษณะของ Distance-vector routing protocol จะเลือกหาเส้นทางที่ดีที่สุดและมีการคำนวณตาม routing algorithm เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมา ซึ่งมักจะเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดและมีจำนวน hop น้อยกว่า โดยอุปกรณ์ Router ที่เชื่อมต่อกันมักจะมีการปรับปรุงข้อมูลใน routing table อยู่เป็นระยะๆ ด้วยการ Broadcast ข้อมูลทั้งหมดใน routing table ไปในเครือข่ายตามระยะเวลาที่ตั้งเอาไว้ การใช้งานแบบ Distance-vector เหมาะกับเครือข่ายที่มีขนาดไม่ใหญ่มากและมีการเชื่อมต่อที่ไม่ซับซ้อนเกินไป ตัวอย่างโปรโตคอลที่ทำงานเป็นแบบ Distance-vector ได้แก่ โปรโตคอล RIP (Routing Information Protocol) และโปรโตคอล IGRP (Interior Gateway Routing Protocol) เป็นต้น
6. อธิบายการทำงานของ Routing Information Protocol (RIP)
Routing Information Protocol (RIP)
เป็นโปรโตคอลเลือกเส้นทางประเภท Distance Vector ที่ถูกออกแบบมาให้ใช้กับเครือข่ายขนาด เล็กไปจนถึงขนาดกลาง เป็นโปรโตคอลเลือกเส้นทางมาตรฐานที่ไม่ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตรายใด
มี RIP Version 1 ที่ได้รับมาตรฐาน RFC 1058 เป็นโปรโตคอลที่เรียบง่าย อีกทั้งยังง่ายต่อการจัดตั้ง
คุณลักษณะการทำงานของ RIP
- RIP อาศัย ค่าของจำนวน Hop เป็นหลัก เพื่อการเลือกเส้นทาง โดยจำกัดที่ไม่เกิน 15 Hop
- RIP จะส่งข่าวสารเกี่ยวกับการปรับปรุงเส้นทางออกไปทุก 30 วินาที
- การส่งข่าวสารเกี่ยวกับการปรับปรุงตารางเส้นทาง เป็นการส่งออกไปทั้งหมดของตารางทั้งที่เป็นของเก่าและของใหม่
- การส่งข่าวสารเกี่ยวกับการปรับปรุงเส้นทาง จะเกิดขึ้นกับ Router ที่เชื่อมต่อกันโดยตรงเท่านั้น
7. อธิบายหลักการทำงานของ Open Shortest Path First (OSPE)
ระบบ OSPF จะแบ่งเราเตอร์ออกเป็นเขตย่อยๆ หรือพื้นที่ย่อยๆ ที่มีความสำพันธ์กันหรือใช้โพรโตคอลที่ใช้ ในการติดต่อต่างกันและจะเลือกเราเตอร์ขึ้นมาอย่างน้อยหนึ่งตัวที่ใช้ติดต่อระหว่างแต่ละพื้นที่ เรียกว่า เราเตอร์ตัวแทนหรือเราเตอร์ชายแดนและจะมีพื้นที่พิเศษในระบบออโตโนมัสซึ่งทำหน้าที่เป็นเสมือนศูนย์กลางของระบบ เรียกว่า Backbone พื้นที่อื่นๆจะต้องมีจุดเชื่อมต่อเข้ากับ Backbone เสมอ และ backbone จะมีหมายเลขพื้นที่เท่ากับ 0 เสมอ การหาระยะทางของเราเตอร์จะส่งแพ็กเก็ตที่เรียกว่า Hello Packet ไปยังเราเตอร์อื่นๆแบบ Floding เมื่อเราเตอร์อื่นได้รับจะต้องตอบกลับแพ็กเก็ตทันทีและแต่ละเราเตอร์ก็จะสร้างตารางระยะทางไปยังเราเตอร์อื่นๆจากข้อมูลที่ได้รับ โดยใช้เราเตอร์ของตัวเองเป็นรากหรืออาจจะคำนวณระยะทางระหว่างเราเตอร์โดยมี ค่าน้ำหนัก ที่คำนวณได้มาจากระยะทาง เวลาการรอคอย และองค์ประกอบอื่นๆที่ต้องการ โดยการพิจารณาการรอคอยนั้นจะมีการส่งแพ็กเก็ตพิเศษ (Echo Packet) ที่กำหนดให้เราเตอร์ที่ได้รับต้องส่งนี้กลับทันทีทำให้ทราบเวลาการรอคอยที่แน่ชัด และคำนวณหาระยะทางที่สั้นที่สุด ในการติดต่อระหว่างพื้นที่อื่นๆจะมีตัวแทนจะเป็นตัวติดต่อและจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลการติดต่อสื่อสารกันตลอดเวลาที่กำหนดไม่ว่าจะเป็นการติดต่อระหว่างพื้นที่หรือนอกพื้นที่
วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552
เครือข่ายคอมพิวเตอร์และการกระจาย (4122102)
Network Magic Pro โปรแกรมที่ทำให้เน็ตแรงขึ้น!
Network Magic Pro โปรแกรมช่วยอัพความเร็วอินเทอน์เน็ตให้มากขึ้น (ออปติไมซ์) และช่วยเหลือท่านในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตให้ทำได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะการแชร์ไฟล์ การป้องกันอันตรายจากอินเทอร์เน็ต ซ่อมแซม และควบคุมการทำงานของอินเทอร์เน็ตได้ด้วย
อ้างอิงโดย : http://www.ohodownloads.com/headline/network-magic-pro/
โปรแกรม Netcut 2.0
เป็นโปรแกรมควบคุมคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานอินเทอร์เน็ตบนระบบเครือข่าย (LAN)
หมายเหตุ เทคนิคของโปรแกรม Netcut เป็นการใช้จุดอ่อนของ ARP Protocol ในการควบคุมเครื่อง
Clients การทำงานโปรแกรม Netcut เมื่อติดตั้งโปรแกรมในเครื่องคอมพิวเตอร์เรียบร้อยแล้ว
1. นำเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้ง Netcut ไปอยู่ในระบบ LAN (มีสายหรือ ไร้สายก็ได้)โปรแกรม Netcut จะทำการ Scan เครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบ LANโดยการตรวจสอบ IP และร้องขอ MAC Address ของเครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบ
2. เลือกเครื่องคอมพิวเตอร์ภายในระบบ LAN ที่จะทำการปิดการให้บริการอินเทอร์เน็ต กดปุ่มปิด (Cut Off)
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูก Cut off จะไม่สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ในทันที
3. เมือต้องการเปิดให้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูก Cut off สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ก็เพียงเลือก Resume
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูก Cut off ภายหลังจาก Resume ก็สามารถทำงานได้ทัน
การป้องกัน Netcut
กรณีที่ใช้อุปกรณ์ SGC ia Internet Room service สามารถป้องกันการ Cut off จากโปรแกรม Netcut ได้และ/หรือ ป้องกันการ Cut off จากโปรแกรม Netcut ได้ นำโปรแกรม Antinetcut ไปติดตั้งที่เครื่องคอมพิวเตอร์ ในระบบ LAN ทั้งหมดสามารถ Download โปรแกรม Antinetcut ได้ที่ http://www.download.com/Anti-Netcut/3000-2085_4-10584471.htmlหรือ โปรแกรม Anti ARP สามารถ Download โปรแกรม Anti Arp ได้ที่http://www.antiarp.com/English/e_download.htm
อ้างอิงโดย : http://www.sgc.co.th/netcut.php
NetTools
Essential NetTools : เป็นชุดของเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับเครือข่ายและควบคุมการต่อเครือข่ายของคอมพิวเตอร์ของคุณ โดยมี NetStat : ซึ่งจะแสดงรายการต่อเครือข่ายของเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ, ข้อมูลในการเปิด Port TCP และ UDP , IP address, และสถานะของการต่อ, NBScan: เป็น Scanner NetBIOS ที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ,PortScan: เป็น Scanner ที่ก้าวหน้าสำหรับ Scan TCP Port ที่ช่วยให้คุณสามารถ Scan เครือข่ายของคุณสำหรับ Port ที่ใช้อยู่, Shares: ควบคุมและบันทึกการติดต่อกับภาพนอกกับข้อมูลในเครื่องของคุณที่ Share ไว้, SysFiles: เป็นเครื่องมือแก้ไขสำหรับไฟล์ระบบ, NetAudit (NetBIOS Auditing Tool): ให้คุณสามารถตรวจสอบความปลอดภัยของเครือข่ายและ/หรือเครื่องคอมพิวเคอร์แต่ละเครื่องของคุณ, RawSocket: ให้คุณสามารถสร้างการติดต่อ TCP และ UDP ระดับต่ำ, ฯลฯ
Note : โปรแกรมนี้ มีคุณสมบัติเป็น Shareware นะครับ ทางผู้พัฒนา โปรแกรม (Program Developer) เขาได้ท่านได้นำไปใช้กันก่อน ในบาง ความสามารถ (Feature) ของโปรแกรม นะครับผม หาก ถ้าท่านต้องการจะใช้ต่อกันในแบบ ตัวเต็มๆ (Full Version) หรือ แบบไม่มี การจำกัดเวลา (No Time Limit) ละก็ ท่านจะต้อง เสียค่าลงทะเบียน (Register) เป็นเงินจำนวน $29.00 ครับ ..
การดาวน์โหลดโปรแกรม NetTools v 5.0.70 ได้จาก http://www.softpedia.com/get/Network-Tools/Misc-Networking-Tools/Net-Tools.shtml หรือ http://www.soft32.com/download_208948.html
อ้างอิง : http://www.thaishadow.com/archiver/tid-5169.html
โปรแกรม NetLimiter
Netlimiterโปรแกรมแบ่งและจัดการ Bandwidth ของ Internetโปรแกรมนี้สามารถทำงานได้ดังนี้:
1.จำกัดความเร็วของโปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่ง หรือหลายโปรแกรมในการดาวน์โหลดและอัพโหลดได้
2.จำกัดความเร็วของ Lan ที่ส่งออกไปยังเครื่องอื่นในเครือข่ายดังนั้น ปัญหาอย่าง "อีกเครื่องดึงเน็ต ทำไงให้มันแชร์ 128/128 เท่ากันมั่ง" ก็จะหมดไป
3.มี Firewall คุ้มกันแน่นหนา ซึ่งจะเปิดใช้ (เปิดแล้วมันคุ้มกันจริงๆ คุ้มกันจนน่ารำคาญไปเลย) หรือจะปิดก็ไม่เป็นไร
4.สามารถตรวจสอบการส่งออก-นำเข้าข้อมูลได้ เมื่อเจออะไรแปลกปลอม ก็ฆ่าการเชื่อมต่อทิ้งได้ทันที
Download ได้ที่ http://www.netlimiter.com/download.php(เลือก NetLimiter Pro 32 bit version สำหรับเครื่องทั่วไป)
อ้างอิง : http://www.maple2.net/BOARD/index.php?showtopic=3421
Net Nanny
ผู้ให้บริการ (ISP Server) การกลั่นกรองนี้จะกระทำที่เครื่องแม่ข่ายของผู้ให้บริการ (ISP) หรือเครื่องแม่ข่าย (Server) ของหน่วยงานที่ทำหน้าที่เป็น Proxy กรองข้อมูลดดยไม่อนุญาตให้สามารถเข้าชมเว็บไวต์ที่ได้ระบุชื่อหรือหมายเลข IP Address ที่ระบุไว้ การกลั่นกรองเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม
1. สาเหตุที่เป็นปัญหาของอินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อชนิดหนึ่งที่มีการเสนอข่าวสาร การโฆษณาชวนเชื่อ การแสดงความคิดเห็นต่อกรณีสาธารณะ ซึ่งย่อมจะมีความเห็นแตกต่างกันหลายฝ่าย อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อเสรีมากกว่าสื่อสารมวลชนแขนงอื่นเพราะขาดองค์กรที่คอยควบคุม จึงเป็นเรื่องง่ายที่ใครสักคนจะสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาหรือเข้าไปโพสต์ข้อความ กระทู้ในกระดานข่าว แม้เจ้าของเว็บไซต์จะคอยตรวจตราแต่เป็นเรื่องยากที่จะตรวจสอบได้ทั้งหมด ดังนั้น สื่อข้อความที่แสดงออกมาจึงอาจจะมีส่วนที่สร้างผลกระทบได้ในวงกว้างการที่อินเทอร์เน็ตเข้ามาแทรกอยู่ในสังคมยุคใหม่กลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว ถ้าเราจะตัดโอกาสปิดกั้นตัวเองออกจากอินเทอร์เน็ตก็จะเป็นการตจัดดอกาสทางการศึกษา เศรษฐกิจและสังคมออกไปอย่างน่าเสียดาย เราน่าจะเรียนรู้และหาวิธีใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตให้มากที่สุดโดยไม่ไปลิดรอนสิทธิของผู้อื่นและรู้จักป้องกันภัยที่อาจจะเกิดขึ้นดีกว่า
2. การกลั่นกรองเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม
มีสาเหตุมาจากความต้องการที่จะป้องกันเด็กและเยาวชนให้ห่างไกลจากเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาในทางลามกอนาจาร ขัดต่อศีลธรรมและจริยธรรมอันดีงามของไทย หรืออาจมีสาเหตุจากบางหน่วยงานที่มีความต้องการควบคุมลูกน้องไม่ให้ใช้เวลาในการทำงานให้หมดไปกับการเล่นเกม หาความบันเทิงด้วยการสนทนาผ่านเครือข่าย เรียกว่า หมดเวลาเพราะใช้อินเทอร์เน็ตแบบไร้สาระ ซึ่งอาจจะได้ผลบ้างสำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้ในการใช้งานคอมพิวเตอร์มากนัก การควบคุมสามารถทำได้โดยวิธีการต่าง ๆ ดังนี้
- การควบคุมที่เครื่องผู้ใช้งาน (Client or User) ใช้โปรแกรมติดตั้งลงบนเครื่องผู้ใช้เพื่อทำการสกัดกั้นเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม โดยให้สิทธิผู้ควบคุมในการกำหนดชื่อเว็บไซต์และรหัสผ่าน ซอฟต์แวร์โปรแกรมเหล่านี้ได้แก่
Net Nanny (http://www.netnanny.com/)
Surfwatch (http://www.surfwatch.com/)
Cybersitter(http://www.cybersitter.com/)
Cyberpatrol (www.cyberpatrol.com)
อ้างอิง : http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=numpuang&group=11&page=2
โปรแกรม AdminMagic
AdminMagic is a quick and easy remote desktop control utility, featuring virtually real-time screen updating thanks to its new and improved screen engine. Thanks to its remote deployment and remote authentication, you don't have to visit each computer even if it is outside your trusted domain security. To minimize configuration and installation effort, AdminMagic has a wizard to ensure proper deployment and configuration.
อ้างอิง : http://www.ohodownloads.com/ohodownload/download-6384-AdminMagic---Remote-Desktop-Control-Utility-2.1-Review.html
โปรแกรม HotSpot และ BandWidth Manager
โปรแกรม HotSpot และ BandWidth Manager สำหรับออก Packages WiFi
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมการใช้งานอินเทอร์เน็ต WiFi หอพัก โรงแรม คอนโด ฯลฯ- ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก ทำงาน บน Windows XP หรือ 2003 Server หรือแม้แต่ Vista- สามารถออก Package เหมือนกับโปรแกรม HotSpot ไม่ว่าจะเป็น LiSG ของ KKTHAI หรือ NAX- ใช้งานแบบ Unlimited User ไม่ต้องเสียตังก์
Download
โค๊ด:http://sv2.gushare.com/file.php?file=2ec4903ec7b216365732ca23a2dcdf93
or
http://www.sendmefile.com/00630199
อ้างอิง : http://www.navy22.com/th/index.php?option=com_content&task=view&id=792&Itemid=2
Mail Server
บทนำ
ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนการเซ็ต Mail Server ที่เป็น Sendmail บน RedHat Fedora Core 3 และเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับ Web-based email เช่น squirrelmail ที่ต้องเชื่อมต่อเมล์เซิร์ฟเวอร์ผ่าน IMAP ได้ และให้โปรแกรม Mail Client อย่างเช่น Outlook, Kmail, Mozilla mail, Netscape mail ฯลฯ สามารถรับส่งเมล์ได้โดยผ่านโปรโตคอล POP3 หรือ IMAP ก็จะกล่าวถึงวิธีการเซ็ตโปรแกรม IMAP & POP3 Server ด้วย โดยโปรแกรม IMAP & POP3 Server ที่มีติดมากับระบบ Add/Remove Application ของ Fedura Core 3 เท่าที่เห็นมีอยู่ 2 ตัวคือ ที่เป็น Dovecot กับ cyrus-imapd แต่เนื่องจาก cyrus-imapd จะนิยมใช้กับระบบที่มี User จำนวนมาก ดังนั้นการเซ็ตค่อนข้างจะยุ่งยาก จึงไม่ขอเลือกใช้ นั่นคือในที่นี้จะขอเลือกเป็น Dovecot
ขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรมที่ต้องติดตั้งในที่นี้ขอใช้โปรแกรมที่มีมากับแผ่น Fedora Core 3 ทั้งหมด โดยโปรแกรมที่ต้องติดตั้งประกอบด้วย 3 โปรแกรมหลัก ๆ คือ
1. โปรแกรม Sendmail ประกอบด้วยโปรแกรม Semdmail และโปรแกรม Sendmail-cf โดย Sendmail-cf เป็นไฟล์คอนฟิกกูเรชันของโปรแกรม Sendmail ใช้กำหนดหน้าที่การทำงานต่าง ๆ
2. โปรแกรมที่ทำหน้าที่เป็น IMAP & POP3 Server ซึ่งขอใช้เป็นโปรแกรม dovecot (Sovecot Secure imap server)
3. โปรแกรม Web-based email ที่เป็น Squirrelmail
4. โปรแกรมป้องกันไวรัส spamassassin
รายละเอียดดูได้จาก http://www.itwizard.info/technology/linux/basic_sendmail_server_setting_fed_3.html
อ้างอิง : http://www.itwizard.info/technology/linux/basic_sendmail_server_setting_fed_3.html
http://www.geocities.com/bely_g/mail.htm
การเปลี่ยน MAC Address
MAC Address (Media Access Control Address) ประกอบไปด้วยตัวเลข 48-bit เช่น 00:12:F0:58:13:A5 เป็นเสมือนชื่อของ Hardware เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องก็จะมีชื่อที่แตกต่างกันด้วย ใช้เพื่อระบุหรืออ้างอิงเครื่องนั้นๆ แต่ในปัจจุบันมีความเป็นไปได้ที่จะทำการเปลี่ยน MAC Address เรียกว่าการทำ MAC spoofing
ถ้าจะให้ยกตัวอย่างง่ายๆก็คือ MAC Address ก็เสมือนเลขบัตรประจำตัวประชาชน ส่วน IP Address ก็เสมือนบ้านเลขที่ คือ IP Address จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแต่ละครั้งขึ้นกับผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (ISP) จะเป็นผู้กำหนด IP ให้กับเครื่องเรา โดยมีการผูก MAC Address ของเรากับ IP Address ที่เราได้รับ เอาไว้ด้วยกัน เมื่อเราต้องการรับข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตสมมุติว่าข้อมูลเป็นเสมือนจดหมาย ก็จะส่งโดยจ่าหน้าซองเป็นเลขที่บ้านหรือ IP Address นั่นเอง เพื่อให้เราได้รับจดหมายนั้น ส่วนเลขประจำตัวประชาชนจะใช้เมื่อต้องการอ้างอิงตัวตนของเรา เช่น เมื่อต้องการใช้ Wireless LAN ที่มีการกำหนดให้ลงทะเบียน MAC Address ก่อน เพื่อให้เฉพาะ MAC Address ที่ลงทะเบียนแล้วใช้งานได้เท่านั้น
รายละเอียดในการเปลี่ยนสามารถดูได้จาก http://blockblock.exteen.com/20080620/mac-address
อ้างอิง : http://blockblock.exteen.com/20080620/mac-address
วิธีเซ็ตโมเด็ม และเราท์เตอร์
วิธีเซ็ตนะครับ1.ต้องเช็คที่โมเด็มตัวแรกก่อนนะครับว่าเป็นโมเด็มเหรอโมเด็มเร้าท์เตอร์2.เช็คค่า IP ของตัวโมเด็มและตัว Wireless Router ว่าเหมือนกันไหม ถ้าเหมือน ให้เปลี่ยนไอพี เช่น โมเด็ม IP 192.168.1.1 IP ของ Wireless Router เป็น 192.168.2.1 ประมาณนี้ครับ วิธีเข้าไปเปลี่ยนใน Wireless Router ให้ไปที่ โหมด LAN แล้วทำการเปลี่ยน IP เป็น 192.168.2.1 เลยครับ3.ถ้าเป็นโมเด็มให้ไปเซ็ตที่โหมด WAN เป็นโหมด PPPoE แล้วใส่ User และ Pass ของผู้ให้บิรการลงไป ถ้าเป็นโมเด็มเร้าท์เตอร์ ให้ไปที่โหมด WAN แล้วเซ็ตเป็นโหมด Dynamic IP เพื่อที่จะให้โมเด็มตัวแรกเป็นตัวจัดการในการแจก Ip ให้ตัว Wireless Router4.จากนั้นก็ลองใช้งาน Internet ดูเลยครับ*** Ip ของตัว Wireless Router 192.168.1.1 User:admin Pass:admin
อ้างอิง : http://www.adslthailand.com/board/showthread.php?t=21736
วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2552
well know port (Datacomm)
สำหรับพวก Application ในชั้น layer สูงๆ ที่ใช้ TCP (Transmission Control Protocol) หรือ UDP (User Datagram Protocol) จะมีหมายเลข Port หมายเลขของ Port จะเป็นเลข 16 bit เริ่มตั้งแต่ 0 ถึง 65535 หมายเลข Port ใช้สำหรับตัดสินว่า service ใดที่ต้องการเรียกใช้ ในทางทฤษฎี หมายเลข Port แต่ละหมายเลขถูกเลือกสำหรับ service ใดๆ ขึ้นอยู่กับ OS (operating system) ที่ใช้ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน แต่ได้มีกำหนดขึ้นให้ใช้ค่อนข้างเป็นมาตรฐานเพื่อให้มีการติดต่อการส่งข้อมูลที่ดีขึ้น ทาง Internet Assigned Numbers Authority (IANA) เป็นหน่วยงานกลางในการประสานการเลือกใช้ Port ว่า Port หมายเลขใดควรเหมาะสำหรับ Service ใด และได้กำหนดใน Request For Comments (RFC') 1700 ตัวอย่างเช่น เลือกใช้ TCP Port หมายเลข 23 กับ Service Telnet และเลือกใช้ UDP Port หมายเลข 69 สำหรับ Service Trivial File transfer Protocol (TFTP) ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นบางส่วนของ File/etc/services แสดงให้เห็นว่า หมายเลข Port แต่ละหมายเลขได้ถูกจับคู่กับ Transport Protocol หนึ่งหรือสอง Protocol ซึ่งหมายความว่า UPP หรือ TCP อาจจะใช้ หมายเลข Port เดียวกันก็ได้ เนื่องจากเป็น Protocol ที่ต่างกัน
หมายเลข Port ถูกจัดแบ่งเป็น 2 ประเภท ตามที่ได้กำหนดใน RFC' 1700 คือ well known Ports และ Registered Ports
- Well Known Ports คือจะเป็น Port ที่ระบบส่วนใหญ่ กำหนดให้ใช้โดย Privileged User (ผู้ใช้ที่มีสิทธิพิเศษ) โดย port เหล่านี้ ใช้สำหรับการติดต่อระหว่างเครื่องที่มีระบบเวลาที่ยาวนาน วัตถุประสงค์เพื่อให้ service แก่ผู้ใช้ (ที่ไม่รู้จักหรือคุ้นเคย) แปลกหน้า จึงจำเป็นต้องกำหนด Port ติดต่อสำหรับ Service นั้นๆ
- Registered Ports จะเป็น Port หมายเลข 1024 ขึ้นไป ซึ่ง IANA ไม่ได้กำหนดไว้
ตัวอย่างการใช้ Port
แต่ละ Transport layer segment จะมีส่วนย่อยที่ประกอบไปด้วยหมายเลข Port ของเครื่องปลายทาง โดยที่เครื่องปลายทาง (Destination hostt) จะใช้ Port นี้ในการส่งข้อมูลให้ไหลกับ Application ได้ถูกต้อง หน้าที่ในการส่งหรือแจกจ่าย Segment ของข้อมูลให้ตรงกับ Application เรียกว่าการ "Demultiplexing" ในทางกลับกันเครื่องต้นทาง (Source host) หน้าที่ในการรวบรวมข้อมูลจาก Application และเพิ่ม header เพื่อสร้าง segment เรียกว่า "Multiplexing" หรือถ้ายกตัวอย่างเป็นภาษาทั่วๆ ไป คือ ในแต่ละบ้านจะมีคน 1 คนรับผิดชอบเก็บจดหมายจากกล่องจดหมาย ถ้าเป็นการ Demultiplexing คนๆ นั้นจะแจกจ่ายจดหมายที่จ่าหน้าซองให้สอดคล้องกับบุคคลนั้นๆ ในบ้าน ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นการ Multiplexing คนๆ นั้นก็จะรวบรวมจดหมายจากสมาชิกในบ้านและทำหน้าที่ส่งออกไป Demultiplexing ตามหมายเลข Port จะอยู่ใน 32 bit แรกของ TCP และ UDP header โดยที่ 16 bit แรกเป็นหมายเลข Port ของเครื่องต้นทาง ขณะที่ 16 bit ต่อมาเป็นหมายเลข Port ของ เครื่องปลายทาง
TCP หรือ UDP จะดูที่ข้อมูลหมายเลข Port ใน header เพื่อพิจารณาว่า Application ใดที่ต้องการข้อมูลนั้นๆ หมายเลข Port ทั้งต้นทางและปลายทางจำเป็นต้องมีเพื่อให้ เครื่องปลายทางมีความสามารถที่จะรัน process มากกว่า 1 process ในเวลาเดียวกัน
ตามที่ได้กล่าวในข้างต้น "Well know Ports" เป็น Port ที่ค่อนข้างมาตรฐาน ทำให้เครื่องที่อยู่ไกลออกไป (Remote Computer) สามารถรู้ได้ว่าจะติดต่อกับทาง Port หมายเลขอะไรสำหรับ Service เฉพาะนั้นๆ อย่างไรก็ตามยังมี Port อีกประเภทที่เรียกว่า Dynamically Allocated Port ซึ่ง Port ประเภทนี้ไม่ได้ถูก assign ไว้แต่เดิม แต่จะถูก assign เมื่อจำเป็น Port ประเภทนี้ให้ความสะดวกและความคล่องตัวสำหรับระบบที่มีผู้ใช้หลายๆคนพร้อมๆคน ระบบจะต้องให้ความมั่นใจว่าจะไม่ assign หมายเลข Port ซ้ำกัน
ยกตัวอย่าง สมมติว่ามีผู้ใช้ต้องการใช้ Service Telnet ทางเครื่องต้นทางจะทำการ assign ให้ หมายเลข Dynamic Port (เช่น 3044) โดยที่หมายเลข Port ปลายทางคือ 23 เครื่องจะ assign หมายเลข Port ปลายทางเป็น23 เพราะว่า เป็น Well Known Port สำหรับ Service Telnet จากนั้นเครื่องปลายทางจะทำการตอบรับกลับโดยใช้ Port หมายเลข 23 เป็นหมายเลขต้นทาง และ หมายเลข Port 3044 เป็นหมายเลข ปลายทาง
กลุ่มของหมายเลข Port และ หมายเลข IP เราเรียกว่า Socket ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับ Network process หนึ่งเดียวที่มีอยู่ในทั้งระบบ Internet คู่ของ Socket ที่ประกอบด้วย Socket หนึ่งตัว สำหรับต้นทาง และอีกตัว สำหรับปลายทาง สามารถใช้บรรยายถึงคุณลักษณะของ Connection oriented protocols
ถ้าผู้ใช้คนที่ 2 ต้องการใช้ Service Telnet จากเครื่องปลายทางเครื่องเดียวกัน ผู้ใช้นั้นก็จะได้รับการ assign หมายเลข Port ต้นทางที่แตกต่างกันออกไป โดยมีหมายเลข Port ปลายทางเหมือนกันกับผู้ใช้คนแรกดังรูปที่ 4 จะเห็นได้ว่าการจับคู่ของหมายเลข Port และหมายเลข IP ทั้งต้นทางและปลายทางสามารถทำให้แยกความแตกต่างของ Internet connection ระหว่างเครื่องต้นทางและเครื่องปลายทางได้
Active และ Passive Portsสิ่งสุดท้ายที่จะต้องกล่าวถึงเกี่ยวกับ Port ก็คือ ความแตกต่างระหว่าง Active และ Passive Portในการใช้การติดต่อด้วย TCP สามารถกระทำได้ 2 วิธีคือ Passive และ Active Connection
Passive connection คือ การติดต่อที่ Application process สั่งให้ TCP รอหมายเลข Port สำหรับการร้องขอการติดต่อจาก Source Host เมื่อ TCP ได้รับการร้องขอแล้วจึงทำการเลือกหมายเลข Port ให้ แต่ถ้าเป็นแบบ Active TCP ก็จะให้ Application process เป็นฝ่ายเลือกหมายเลข Port ให้เลย
ตัวอย่างโปรโตคอลในลำดับชั้นแอปพลิเคชั่น (Well - Known Prots)
Port number.....Service ...................Description
20 ........FTP(Data) .....File Transfer Protocol and Data Used for transferring files
21..FTP (Control) ..File Transfer Protocol and Control Used for transferring files
23..................TELNET ........... used to gain “remote control” over another Machine on the network
25..................SMTP .............Simple Mail Transfer Protocol, used for transferring e-mail between e-mail servers
69..................TFTP..............Trivial File Transfer Protocol, used for transferring Files without a secure login
80..............HTTP(World Wide Web) .....HyperText Transfer Protocol, use for transferring HTML (Web Pages)
110..POP3.Post Office Protocol, version3, used for transfening e-mail form and e-mail server to and e-mail client
119 ........NNTP ........Network News Transfer Protocol, used to transfer Usenet news group messages from a news server To a news reader program
137................... NETBIOS-NS ................Net BIOS Name Service, Used by Misrosoft Networking
138.................NETBIOS-DG.............NetBIOS Datagram Service,sed for transporting data by Microsoft Networking
139.........NETBIOS-SS....NetBIOS session Service,used by Microsoft Networking
161............SNMP..........Simple Network Management Protocol, used to monitor network devices remotely
443...............HTTPS .......................HyperText Transfe-Protocol, Secure
วันเสาร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2552
การหาค่า Network ID,Broadcast และ IP Usage ของบริษัท CISCO (Datacomm)
11111111.11111111.11111111.11000000
บิต...เลขฐานสอง......Network ID...Broadcast...IP Usage
0......00000000.........0................63..............1-62
1......00000001.........64.............127...........65-126
2......00000010........128............191..........129-190
3......00000011.........192...........255..........193-254
...........................................................................................
/27.......255.255.255.224........2^3=8..........และ 2^5=32
11111111.11111111.11111111.11100000
บิต.....เลขฐานสอง......Network ID.....Broadcast......IP Usage
0........00000000..............0.............31....................1-30
1.........00000001.............32............63...................33-62
2.........00000010.............64............95...................65-94
3.........00000011.............96...........127..................97-126
4.........00000100............128..........159...............129-158
5.........00000101.............160.........191................161-190
6.........00000110.............192.........223................193-222
7..........00000111.............224.........256...............225-255
...........................................................................................
/28.........255.255.255.240 = 2^4 =16 และ 2^4=16
11111111.11111111.11111111.11110000
บิต...เลขฐานสอง ....Network ID......broad cast....IP Usage
0....00000000.........0...........................15...............1-14
1....00000001........16..........................31.............17-30
2....00000010........32.........................63.............33-62
3....00000011.........64..........................79.............65-78
4....00000100.......80..........................95.............81-94
5....00000101.........96........................127.............97-126
6....00000110........128.......................159...........129-158
7....00000111........160.......................191...........160-190
8....00001000.......192.......................207...........193-206 9....00001001.......208.......................223...........209-222 10..00001010.......224.......................239...........225-238
11..00001011........240.......................255...........241-254
12..00001100.......256........................271...........257-270
13..00001101........272........................287..........273-286
14...00001110.......288........................303.........289-302
15...00001111........304........................319..........305-318
................................................................................................
/29.......255.255.255.248=2^5=32และ 2^3=8
11111111.11111111.11111111.11111000
บิต....เลขฐานสอง......Network ID........Brodcast....IP Usage
0.....00000000.........0........................7..................1 -6
1.....00000001.........8.......................15.................9-14
2.....00000010.........16.....................23.................17-22
3.....00000011.........24.....................31.................25-30
4.....00000100.........32.....................39.................33-38
5.....00000101.........40.....................47.................41-46
6.....00000110.........48.....................55.................49-54
7.....00000111.........56.....................63.................57-62 8.....00001000.........64.....................71.................65-70
9.....00001001.........72.....................79.................73-78
10...00001010.........80.....................87................. 81-86
11...00001011.........88.....................95.................89-94
12...00001100.........96.....................103...............97-102
13...00001101........104....................111...............105-110
14...00001110........112....................119...............113-118
15...00001111........120....................127...............121-126
16...00010000........128....................135...............129-134
17...00010001........136....................143...............137-142
18...00010010........144....................151...............145-150
19...00010011........152....................159...............153-158
20...00010100........160....................167...............161-166
21...00010101........168....................175...............169-174
22...00010110........176....................183...............177-182
23...00010111........184....................191...............185-190
24...00011000........192....................199...............193-198
25...00011001........200....................207...............201-206
26...00011010........208....................215...............209-214
27...00011011........216....................223...............217-222
28...00011100........224....................231...............225-230
29...00011101........232....................239...............233-240
30...00011110........240....................247...............241-248
31...00011111........248....................255...............249-256
................................................................................................
/30.......255.255.255.252=2^6=64 และ 2^2=4
11111111.11111111.11111111.11111100
บิต....เลขฐานสอง........Network ID........Broadcast....IP Usage
0......00000000...............0............................3................1-2
1.......00000001...............4............................7................5-6
2.......00000010...............8...........................11...............9-10
3.......00000011..............12..........................15...............13-14
4.......00000100..............16.........................19...............17-18
5.......00000101...............20........................23...............21-22
6.......00000110...............24........................27...............25-26
7.......00000111................28........................31...............29-30
8......00001000................32........................35...............33-34
9......00001001.................36.......................39................37-38
10....00001010.................40.......................43................41-42
11....00001011..................44.......................47.................45-46
12....00001100.................48.......................51.................49-50
13....00001101..................52.......................55.................53-54
14....00001110..................56.......................59..................57-58
15....00001111..................60.......................63..................61-62
16....00010000................64.......................67...................65-66
17....00010001.................68.......................71...................69-70
18....00010010.................72.......................75...................73-74
19....00010011.................76.......................79....................77-78
20...00010100.................80......................83....................81-82
21....00010101.................84......................87....................85-86
22....00010110................88.......................91....................89-90
23....00010111.................92......................95....................93-94
24....00011000................96......................99....................97-98
25....00011001...............100....................103.................101-102
26....00011010...............104....................107.................105-106
27....00011011................108....................111.................109-110
28....00011100...............112.....................115.................113-114
29....00011101...............116......................119.................117-118
30....00011110...............120.....................123.................121-122
31.....00011111...............124.....................127..................125-126
32....00100000..............128.....................131..................129-130
33....00100001...............132....................135..................133-134
34....00100010...............136....................139..................137-138
35....00100011................140...................143..................141-142
36....00100100...............144....................147..................145-146
37....00100101................148....................151..................149-150
38....00100110................152....................155..................153-154
39....00100111................156....................159...................157-158
40....00101000..............160....................163...................161-162
41....00101001...............164....................167...................165-166
42....00101010...............168....................171...................169-170
43....00101011................172....................175...................173-174
44....00101100................176...................179...................177-178
45....00101101................180...................183...................181-182
46....00101110................184...................187...................185-186
47....00101111................188...................191....................189-190
48....00110000..............192...................195....................193-194
49....00110001..............196...................199.....................197-198
50....00110010.............200...................203....................201-202
51.....00110011.............204...................207....................205-206
52.....00110100............208....................211....................209-210
53.....00110101.............212....................215....................213-214
54.....00110110.............216....................219....................217-218
55.....00110111.............220....................223....................221-222
56.....00111000............224....................227....................225-226
57.....00111001.............228....................231....................229-230
58.....00111010.............232....................235...................233-234
59.....00111011.............236....................239....................237-238
60.....00111100.............240....................243...................241-242
61......00111101.............244....................247...................245-246
62......00111110.............248....................251...................249-250
63......00111111..............252...................255...................253-254
....................................................................................................................
แบบข้อสอบ บทที่ 7 (Datacomm)
บทที่ 7 การบริหารเครือข่ายและการตรวจซ่อมระบบ
วิชา ระบบการสื่อสารข้อมูล (4123702)
1. ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อในระดับชั้น Physical ได้แก่ข้อใด
ก. ปัญหาจาก LAN Card บกพร่อง
ข. ปัญหา Connector ชำรุด.
ค. ปัญหา Hub ไม่ทำงาน
ง. ปัญหาเกี่ยวกับอุปกรณ์ Transceiver
2. ข้อใดเป็นปัญหาการเชื่อมต่อในระดับชั้น Network
ก. ปัญหาไอพีแอดเดรส ชนกัน
ข. ปัญหาเกี่ยวกับ Routing
ค. ปัญหาเกี่ยวกับ Ethernet Interface อื่น ๆ
ง. ข้อ ก และ ข ถูก.
3. ปัญหาในระดับชั้นใดเป็นปัญหาระหว่าง Client กับ Server
ก. Transport
ข. Network
ค. Session.
ง. Application
4. ปัญหาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเครือข่ายได้แก่ข้อใด
ก. การตอบสนองของเครือข่ายช้ามาก
ข. การให้บริการของ Server บนเครือข่ายช้ามาก
ค. การเชื่อมต่อสื่อสารผ่าน WAN ช้ามาก
ง. ถูกทุกข้อ.
5. การให้บริการของ Server ช้ามากเกิดจากสาเหตุใด
ก. เซิร์ฟเวอร์เกิดปัญหาคอขวด
ข. ปัญหาเกี่ยวกับการทำ Encapsulation ของ Frame ที่ไม่สมบูรณ์
ค. หน่วยความจำของเครื่อง Server มีไม่เพียงพอ.
ง. การจัด Configuration ของ Driver เกี่ยวกับ LAN Card ไม่ถูกต้อง
6. Database Server จัดอยู่ใน Server ประเภทใด
ก. Department Server
ข. Enterprise Server.
ค. Super Server
ง. Network Server
7. เครื่อง Server ประจำองค์กรหลายตัวที่ใช้ทรัพยากรร่วมกันได้แก่ Server ประเภทใด
ก. Network Server
ข. Super Server.
ค. Enterprise Server
ง. Web Application Server
8. ข้อใดเป็นการแก้ปัญหาคอขวดเบื้องต้นของเครื่อง Server
ก. หลีกเลี่ยงการพ่วง Hub หลายตัวเพื่อติดต่อกับ Server ตัวเดียว
ข. เปอร์เซนต์การใช้งานซีพียูบนเครื่อง Server ต้องมีไม่เกิน 70%
ค. ค่าเฉลี่ยของคิวที่ผู้ใช้งานต้องไม่ยาวหรือค้างนานเกินไป
ง. ถูกทุกข้อ.
9. Mode การทำงานของ Switching Hub ใด ที่อ่านข้อมูลไม่ครบทุกไบต์
ก. Store and Forward
ข. Cut Through
ค. Fragment Free.
ง. ไม่มีข้อใดถูก
10. ระบบเครือข่ายจะมี Broadcast เป็นองค์ประกอบแต่การมี Broadcast จะมีผลเสียคือข้อใด
ก. การสูญเสียพื้นที่
ข. Broadcast ไม่สามารถรู้เบอร์ MAC Address ระหว่างกันได้
ค. การสูญเสีย Bandwidth ที่ไม่มีความจำเป็น.
ง. Broadcast ไม่สามารถสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์บนเครือข่ายที่ไม่รู้จักกันได้
วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2552
แบบข้อสอบ บทที่ 6 (Datacomm)
บทที่ 6 การออกแบบระบบเครือข่าย และ การจัดการระบบ
วิชา ระบบการสื่อสารข้อมูล (4123702)
1. การแบ่งเครือข่ายออกเป็นส่วน ๆ (Segmentation) จะใช้อุปกรณ์ชนิดใด
ก. Switch
ข. Hub
ค. Bridge.
ง. Card
2. MAC Address มีขนาดกี่บิต
ก. 18 บิต
ข. 24 บิต
ค. 36 บิต
ง. 48 บิต.
3. ระบบปฏิบัติการ UNIX ใช้โปรโตคอลสื่อสารชนิดใดเพื่อติดต่อกันบนเครือข่าย
ก. IPX/SPX
ข. NetBIOS
ค. NETBUEI
ง. TCP/IP.
4. Bridge จะอาศัยการสื่อสารของโปรโตคอลต่างๆ เพื่อการจัดสร้างและ update
ตาราง SAT เป็นระยะและสม่ำเสมอ เรียกกระบวนการนี้ว่าอะไร
ก. Self-Learning.
ข. Flooding
ค. Filteing
ง. Forwarding
5. ข้อใดเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของ Switches
ก. Input Controller
ข. Output Controller
ค. Control Process
ง. ถูกทุกข้อ.
6. ชิ้นงานใดต่อไปนี้ ไม่อยู่ใน Control Process
ก. Transmission Process
ข. Flow Control Process
ค. Switching Process.
ง. Learning Process
7. Wire Speed หมายถึงข้อใด
ก. ระยะทางไกลสุดในการส่งสายสัญญาณ
ข. อัตราความเร็วสูงสุดของการรับ Frame ของข้อมูล
ค. อัตราความเร็วสูงสุดของการส่ง Frame ของข้อมูล
ง. อัตราความเร็วสูงสุดของการรับส่ง Frame ของข้อมูล.
8. Layer-2 Switching Hub มีหลักการทำงานเหมือนอุปกรณ์ชนิดใด
ก. Router
ข. Bridge.
ค. Hub
ง. Switch
9. Layer-4 Switching ของ OSI Model จัดอยู่ในระดับชั้นใด
ก. Physical
ข. Application
ค. Transport.
ง. Data Link
10. การเชื่อมต่อแบบ Full Duplex มีผลดีอย่างไร
ก. มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลมากขึ้น.
ข. จำนวนข้อมูลที่ส่งออกไปถึงจุดหมายแน่นอนและครบถ้วน
ค. อัตราการหน่วงลดน้อยลง
ง. อัตราการหน่วงเพิ่มมากขึ้น
วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2552
แบบข้อสอบ บทที่ 5 (Datacomm)
บทที่ 5 TCP/IP หัวใจของการสื่อสาร
วิชา ระบบการสื่อสารข้อมูล (4123702)
1. ส่วนประกอบสำคัญของอินเทอร์เน็ตโพรโตคอล คือข้อใด
ก. IP Address.
ข. Network
ค. Host
ง. Application
2. หน่วยงานที่กำกับดูแล IP Address ในประเทศไทยคือใคร
ก. dopa.net
ข. thnic.net.
ค. NAT
ง. IETF
3. อินเทอร์เน็ตโพรโตคอลรุ่นใหม่ล่าสุดคืออะไร
ก. IPV4
ข. IPV5
ค. IPV6.
ง. IPV7
4. Internet Protocol version 6 (IPV6) กำหนด IP Address กี่บิต
ก. 16 บิต
ข. 32 บิต
ค. 64 บิต
ง. 128 บิต.
5. ข้อใดเป็นตัวอย่างของการถูกออกแบบมาให้ IPV6 สามารถทำงานในเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพต่ำได้
ก. Gigabit Ethernet
ข. Wireless network.
ค. OC-12
ง. ATM
6. อินเทอร์เน็ตโพรโตคอลรุ่นที่ 6 ถูกพัฒนาขึ้นโดยใคร
ก. IPAE
ข. SIP
ค. TUBA
ง. IETF.
7. ด้วยความสามารถของ IPV6 สามารถนำมาใช้ในระบบปฏิบัติการต่าง ๆ ยกเว้นข้อใด
ก. Sun Solaris
ข. Linux
ค. Windows 2000
ง. Dos.
8. ข้อต่อไปนี้ข้อใดเป็นตำแหน่งที่เพิ่มขึ้นในส่วนของ Header ของ IPV6
ก. Header Checksum
ข. Protocol
ค. Flow Label.
ง. Time-To-Live
9. IPV6 ใช้เครื่องหมายใดเป็นตัวคั่นระหว่างเลขฐานสิบหกที่ถูกแบ่งข้อมูลออกเป็น 8 ชุด ๆ ละ 16 บิต
ก. “.”
ข. “:” .
ค. “;”
ง. “_”
10. เนื่องจาก IPV6 ไม่สามารถกรองหรือ บล็อกการจราจรได้ ดังนั้นมีวิธีใดบ้างที่จะป้องกันการดักข้อมูลของเครือข่ายอื่นได้
ก. ใช้ซอฟต์แวร์ไฟล์วอลล์มาป้องกัน.
ข. ไม่ให้มีบุคคลแปลกปลอมเข้ามาใช้เครือข่ายภายใน
ค. ตรวจเช็คดูว่าไม่มีเครื่องผู้อื่นเข้ามาในเครือข่ายกายภาพ
ง. ตรวจเช็คให้แน่ใจว่า IPV6 ไม่เป็นการติดต่อระหว่างเครื่องที่มีการข้าม Router
วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2552
แบบข้อสอบ บทที่ 4 (Datacomm)
บทที่ 4 เครือข่ายอีเทอร์เน็ต หรือ IEEE 802.3
วิชา ระบบการสื่อสารข้อมูล (4123702)
1. Ethernet พัฒนาขึ้นโดยใคร
ก. Fuji
ข. Xerox.
ค. Exrox
ง. Carrier
2. Ethernet ใช้เครือข่ายที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของมาตรฐานใด
ก. EIA
ข. CCITT
ค. IEE
ง. IEE 802.3.
3. รูปแบบการเชื่อมต่อบนอีเทอร์เน็ตแลนแบบใด ที่ทนทานต่อการถูกรบกวนได้เป็นอย่างดี
ก. 10 Base 5
ข. 10 Base 2
ค. 10 Base –T
ง. 10 Base –F.
4. รูปแบบการเชื่อมต่อ 10 Base –T : 10 ในที่นี้หมายถึงอะไร
ก. อัตราความเร็วในการส่งข้อมูลเท่ากับ 10 Mbps.
ข. อัตราความเร่งในการส่งข้อมูลเท่ากับ 10 Mbps
ค. ระยะเวลาที่ใช้ในการรอส่งข้อมูลเท่ากับ 10 วินาที
ง. ระยะทางในการส่งข้อมูลเท่ากับ 10 Mbps
5. Fast Ethernet ใช้โทโปโลยีแบบใด
ก. Star.
ข. Ring
ค. Bus
ง. CAT
6. สายสัญญาณ UTP ชนิดใดเหมาะที่สุดสำหรับ Fast Ethernet
ก. CAT2
ข. CAT3
ค. CAT5
ง. CAT5e.
7. มาตรฐานใดต่อไปนี้ ที่ไม่สามารถรองรับการทำงานที่ 100 Mbps ได้
ก. 100 Base-TX
ข. 100 Base-FX
ค. 10 Base-T.
ง. 100 Base-T4
8. มาตรฐานแบบ 100 Base-TX มีความถี่ทางไฟฟ้าเท่าใด
ก. 20 MHZ
ข. 100 MHZ
ค. 125 MHZ.
ง. 150 MHZ
9. มาตรฐานแบบ 100 Base-T2 ใช้วิธีการเข้ารหัสแบบใด
ก. PAM5x5.
ข. 8B/6T
ค. 4B/5B
ง. Manchester
10. Gigabit Ethernet ถูกออกแบบขึ้นมาให้เป็นไปตามมาตรฐานใด
ก. IEEE 802
ข. IEEE 802.3
ค. IEEE 802.5
ง. IEEE 802.3z.
แบบข้อสอบ บทที่3 (datacomm)
บทที่ 3 อุปกรณ์เครือข่าย และ สื่อนำสัญญาณ
วิชา ระบบการสื่อสารข้อมูล (4123702)
1. อุปกรณ์ที่ใช้ในการรวมข้อมูลจากเครื่องเทอร์มินัลเข้าด้วยกัน เรียกว่าอะไร
ก. Mux.
ข. Repeater
ค. Bridge
ง. Switch
2. ข้อใดเป็นคุณสมบัติเด่นของคอนเซนเตรเตอร์
ก. มีหน่วยความจำ
ข. มีการบับอัดข้อมูล
ค. ถูกทั้งสองข้อ.
ง. ผิดทั้งสองข้อ
3. Hub เป็นอุปกรณ์ที่นิยมใช้ในระบบเครือข่าย ที่ใช้โทโปโลยีแบบใด
ก. Star.
ข. Ring
ค. Bus
ง. CSMA/CD
4. ข้อใดเป็นอุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่าย
ก. Repeater
ข. Bridge
ค. Switch
ง. ถูกทุกข้อ.
5. Repeater เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในระดับใด ใน OSI Model
ก. Application
ข. Transport
ค. Physical.
ง. Net work
6. ข้อใดเป็นหน้าที่ของ Bridge
ก. กรองสัญญาณ และส่งผ่านแพ็กเกจข้อมูลไปยังส่วนต่าง ๆ.
ข. เชื่อมต่อสัญญาณให้กับเครือข่ายให้ไกลออกไปได้กว่าปกติ
ค. เชื่อมต่อเครือข่ายหลาย ๆ เครือข่ายเข้าด้วยกัน
ง. หาเส้นทางการส่งข้อมูลที่เหมาะสมให้โดยอัตโนมัติ
7. สายสัญญาณที่ใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้แก่ข้อใด
ก. สายโคแอ็กช์เชียล
ข. สายคู่บิดเกลียว
ค. สายใยแก้วนำแสง
ง. ถูกทุกข้อ.
8. สายโคแอ็กซ์ แบบหนาสามารถนำสัญญาณได้ไกลด้วยระยะทางเท่าใด
ก. 300 เมตร
ข. 400 เมตร
ค. 500 เมตร.
ง. 600 เมตร
9. ในการใช้สายคู่บิดเกลียว UTP เป็นที่นิยมในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ปัจจุบัน แต่มีข้อแม้ว่าในการใช้สายนั้นต้องมีความยาวไม่เกินเท่าใด
ก. 50 เมตร
ข. 80 เมตร
ค. 100 เมตร.
ง. 200 เมตร
10. สายใยแก้วนำแสงมี ตัวกลางที่ใช้สำหรับการส่งสัญญาณแสง คืออะไร
ก. Fiber Optic.
ข. Fiber Glass
ค. Fiber scope
ง. Cladding
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2552
แบบข้อสอบ บทที่ 2 (Datacomm)
บทที่ 2 โปรโตคอลมาตรฐาน และรูปแบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
วิชา ระบบการสื่อสารข้อมูล (4123702)
1. ข้อต่อไปนี้เป็นองค์กรสำหรับพัฒนาและควบคุมมาตรฐานสากล ยกเว้นข้อใด
ก. ISO
ข. OSI.
ค. IEEE
ง. EIA
2. มาตรฐานสากลใดที่ใช้สำหรับวงจรโทรศัพท์ และโมเด็ม
ก. ISO
ข. CCITT.
ค. ANSI
ง. IEEE
3. มาตรฐาน V และ X เป็นมาตรฐานที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยองค์กรสากลใด
ก. CCITT.
ข. ISO
ค. IEEE
ง. EIA
4. หน่วยงานที่กำหนดมาตรฐาน ISO คือหน่วยงานใด
ก. ISO
ข. OSI.
ค. IEEE
ง. ANSI
5. มาตรฐานในการสื่อสารข้อมูล (OSI) มีระดับชั้นของการสื่อสารข้อมูลกี่ชั้น
ก. 4
ข. 5
ค. 6
ง. 7.
6. Layer ใดที่ทำหน้าที่อำนวยการ การส่งข้อมูลเข้าระดับเครือข่ายสื่อสารโดยปราศจากข้อผิดพลาด
ก. Physical Layer
ข. Data Link Layer.
ค. Network Layer
ง. Transport Layer
7. Layer ใดที่ทำหน้าที่แปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปของแอสกี
ก. Application Layer
ข. Presentation Layer.
ค. Session Layer
ง. Transport Layer
8. ระดับชั้นใดที่แบ่งการทำงานเป็น 2 ชั้นย่อย คือ LIC และ MAC
ก. Physical
ข. Data Link.
ค. Network
ง. Transport
9. กลุ่มของ TCP/IP กลุ่มใดมีหน้าที่พิจารณาเส้นทางที่ดีที่สุดที่ใช้ส่งข้อมูล
ก. Transport Protocol
ข. Transmission Control Protocol
ค. User Datagram Protocol
ง. Routing Protocol.
10. Protocol ใด ที่ให้บริการแบบ Connection Service
ก. TCP
ข. UDP.
ค. IP
ง. RIP
11. Protocol ชนิดใดเปรียบเสมือนการส่งไปรษณีย์
ก. TCP
ข. UDP.
ค. IP
ง. RIP
12. ข้อใดไม่ใช่รูปแบบของโทโปโลยี
ก. Star
ข. Bus
ค. Broadcast.
ง. Ring
13. โทโปโลยีแบบ Star มีสถานีศูนย์กลางทำหน้าที่เป็นตัวสวิตชิ่ง เรียกว่าอะไร
ก. HUB.
ข. NTU
ค. ROUTER
ง. ไม่มีข้อใดถูก
14. ที่ปลายทั้งสองด้านของบัส มีเทอร์มิเนเตอร์ มีหน้าที่อะไร
ก. ตรวจสอบข้อมูลที่จะเข้าสู่บัส
ข. ตรวจสอบสัญญาณข้อมูลจากโหนดผู้ส่ง
ค. ดูดกลืนสัญญาณ.
ง. ควบคุมดูแลการทำงานของโหนด
15. โปรโตคอลชนิดใดที่ใช้กับช่องทางสื่อสารแบบสล็อต
ก. 1-persistant CSMA/CD
ข. Non-persistant CSMA/CD
ค. p-persistant CSMA/CD.
ง. CSMA/CA
วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2552
การหา Network ID (Datecomm)
192.168.2.10/27
IP............... 11000000.10101000.00000010.00001010
subnet mask 11111111.11111111.11111111.11100000
AND............ 11000000.10101000.00000010.00000000
ฐาน10.......... 192.168.2.0
192.168.5.10/27
IP............... 11000000.10101000.00000101.00001010
subnet mask 11111111.11111111.11111111.11100000
AND............ 11000000.10101000.00000101.00000000
ฐาน10.......... 192.168.5.0
ดังนั้น ไม่ใช่ NetworkID เดียวกัน
ชุดที่ 2
10.2.100.8/14
IP............... 00001010.00000010.01100100.00001000
Subnet mask 11111111.11111100.00000000.00000000
AND............ 00001010.00000000.00000000.00000000
ฐาน10.......... 10.0.0.0
10.3.150.9/14
IP............... 00001010.00000011.10010110.00001001
Subnet mask 11111111.11111100.00000000.00000000
AND............ 00001010.00000000.00000000.00000000
ฐาน10.......... 10.0.0.0
ดังนั้น เป็น NetworkID เดียวกัน
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2552
ข้อสอบกลางภาค (Datacomm)
1. เครือข่ายคอมพิวเตอร์หมายถึงอะไร (5 คะแนน)
ตอบ เครือข่ายคอมพิวเตอร์หมายถึง การนำเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปมาเชื่อมต่อเพื่อใช้ในการสื่อสารข้อมูล
2. จงบอกหน้าที่และโครงสร้างของ OSILAYER (10 คะแนน)
ตอบ โครงสร้างOSI LAYER มีระดับชั้นของการสื่อสารข้อมูล 7 ชั้น เพื่อใช้เป็นมาตฐานในการสื่อสารข้อมูลต่างยี่ห้อกันได้โดยตั้งชื่อของมาตรฐานนี่ว่าระบบเปิด หรือOSI : Open System interconnection โดยมีระดับชั้นของการสื่อสารข้อมูล 7 ชั้น ดังนี้
1) ระดับกายภาพ Physical Layer เป็นการทำงานทางกายภาพของระบบเชื่อมต่อ ทั้งในส่วนของสัญญาณทาสงไฟฟ้า ระบบสายสัญญาณ(cable)และตัวเชื่อม(connector)
2) ระดับการเชื่อมโยงข้อมูล Data link layer รับผิดชอบการนจำข้อมูลเข้าและออกจากตัวกลาง การจัดเฟรม การตรวจสอบและการจัดการข้อผิดพลาดของข้อมูลโดยจะมีการแบ่งออกเป็น 2 ชั้นย่อยคือ LIC(Logical Link Control)จะอยู่ในครึ่งบน รับผิดชอบในเรื่องการตรวจสอบข้อผิดพลาดและ MAC(Media Access control)อยู่ในครึ่งล่าง เป็นส่วนของวิธีส่งข้อมูลผ่านสื่อกลาง
3) ระดับเครื่อข่ายข้อมูล Network layer จะทำการตรวจสอบการส่งผ่านข้อมูลผ่านเครือข่าย เช่น เวลาที่ใช้ในการส่ง การส่งต่อ การจัดลำดับของข้อมูล
4) ระดับการขนส่งข้อมูล Transport layer Transport Layer จะทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่าง 2 Layer คือ Application - Oriented Layer ซึ่งอยู่เหนือกว่า Network - Dependent Protocol Layer ซึ่งอยู่ต่ำกว่า Transport Layer มีหน้าที่ในการเตรียมข้อความต่าง ๆ ในการสื่อสารแบบ Session Layer บริการของ Transport Layer จะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ o Class 0 จะให้บริการคำสั่งพื้นฐานในการสื่อสารข้อมูล o Class 4 จะให้บริการเกี่ยวกับคำสั่งในการควบคุมการไหล ของข้อมูล และคำสั่งในการตรวจสอบข้อผิดพลาดต่าง ๆ
5) ระดับการโต้ตอบระหว่างกัน Session layer รับผิดชอบการควบคุมการติดต่อและการประสานของข้อมูลที่ส่งผ่านระบบเครือข่าย เช่น การตรวจสอบลำดับก่อนหลังที่ถูกต้องของ Pocket เป็นต้น
6) ระดับการแสดงผล Presentation layer เป็นการทำงานของระบบรักษาความลับและการเปลี่ยนแปลงข้อมูลรูปแบบต่าง ๆ ให้สามารถแลกเปลี่ยนกันได้
7) ระดับการประยุกต์ใช้งานApplication layer เป็นการทำงานของซอฟแวร์ประยุกต์ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบเครือข่าย เช่น การส่งผ่านแฟ้มข้อมูล การจำลอง terminal การแลกเปลี่ยนข้อมูล
3. Topology คืออะไร จงบอกข้อดีข้อเสียของ topology แต่ละชนิด (10 คะแนน)
ตอบ โทโปโลยีคือลักษณะทางกายภาพ (ภายนอก) ของเครือข่าย ซึ่งหมายถึง ลักษณะของการเชื่อมโยงสายสื่อสารเข้ากับอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ภายในเครือข่ายด้วยกันนั่นเอง โทโปโลยีของเครือข่าย LAN แต่ละแบบมีความเหมาะสมในการใช้งานแตกต่างกัน จึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องทำการศึกษาลักษณะและคุณสมบัติ ข้อดีและข้อเสียของโทโปโลยีแต่ละแบบ เพื่อนำไปใช้ในการออกแบบพิจารณาเครือข่ายให้เหมาะสมกับการใช้งาน รูปแบบของโทโปโลยีของเครือข่ายหลัก ๆ มีดังต่อไปนี้
-โทโปโลยีรูปดาว(Star)
เป็นการเชื่อมโยงการติดต่อสื่อสารที่มีลักษณะคล้ายกับรูปดาว (STAR) หลายแฉก โดยมีศูนย์กลางของดาว หรือฮับเป็นจุดผ่านการติดต่อกันระหว่างทุกโหนดในเครือข่าย
ข้อดี ของเครือข่ายแบบ STAR คือการติดตั้งเครือข่ายและการดูแลรักษาทำ ได้ง่าย หากมีโหนดใดเกิดความเสียหายก็สามารถตรวจสอบได้ง่าย และศูนย์กลางสามารถตัดโหนดนั้นออกจากการสื่อสารในเครือข่ายได้
ข้อเสีย ของเครือข่ายแบบ STAR คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางมีราคาแพง และถ้าศูนย์กลางเกิดความเสียหายจะทำให้ทั้งระบบทำงานไม่ได้เลย นอกจากนี้เครือข่ายแบบ STAR ยังใช้สายสื่อสารมากกว่าแบบ BUS และ แบบ RING
-โทโปโลยีแบบบัส (Bus)
ลักษณะการทำงานของเครือข่ายโทโปโลยีแบบ BUS คืออุปกรณ์ทุกชิ้นหรือโหนดทุกโหนด ในเครือข่ายจะต้องเชื่อมโยงเข้ากับสายสื่อสารหลักที่เรียกว่า "บัส" (BUS)เมื่อโหนดหนึ่งต้องการจะส่งข้อมูลไปให้ยังอีกโหนด หนึ่งภายในเครือข่าย ข้อมูลจากโหนดผู้ส่งจะถูกส่งเข้าสู่สายบัสในรูปของแพ็กเกจ ซึ่งแต่ละแพ็กเกจจะประกอบด้วยตำแหน่งของผู้ส่งและผู้รับ และข้อมูล การสื่อสารภายในสายบัสจะเป็นแบบ 2 ทิศทางแยกไปยังปลายทั้ง 2 ด้านของบัส โดยตรงปลายทั้ง 2 ด้านของบัสจะมีเทอร์มิเนเตอร์ (Terminator) ทำหน้าที่ดูดกลืนสัญญาณ เพื่อป้องกันไม่ให้สัญญาณข้อมูลนั้นสะท้อนกลับ เข้ามายังบัสอีก เป็นการป้องกันการชนกันของสัญญาณข้อมูลอื่น ๆ ที่เดินทางอยู่บนบัส
ข้อเสีย อย่างหนึ่งของเครือข่ายแบบ BUS คือการไหลของข้อมูลที่เป็น 2 ทิศทางทำให้ระบุจุดที่เกิดความเสียหายในบัสยาก และโหนดที่ถัดต่อไปจากจุดที่เกิดความเสียหายจนถึงปลายของบัสจะไม่สามารถทำการสื่อสารข้อมูลได้ แต่โหนดที่อยู่ก่อนหน้าจุดเสียหายจะยังคงสื่อสารข้อมูลได้
-โทโปโลยีรูปวงแหวน (Ring)
เครือข่ายแบบ RING เป็นการสื่อสารที่ส่งผ่านไปในเครือข่าย ข้อมูลข่าวสารจะไหลวนอยู่ในเครือข่ายไปในทิศทางเดียวเหมือนวงแหวน หรือ RING นั่นเอง
ข้อดี ของเครือข่ายแบบ RING คือผู้ส่งสามารถส่งข้อมูลไปยังผู้รับได้หลาย ๆ โหนดพร้อมกัน โดยกำหนดตำแหน่งปลายทางเหล่านั้นลงในส่วนหัวของแพ็กเกจข้อมูล รีพีตเตอร์ของแต่ละโหนดจะทำการตรวจสอบเอง ว่ามีข้อมูลส่งมาให้ที่โหนดตนเองหรือไม่ การส่งผ่านข้อมูลในเครือข่ายแบบ RING จะเป็นไปในทิศทางเดียวจากโหนดสู่โหนด จึงไม่มีการชนกันของสัญญาณข้อมูล
ข้อเสีย คือ ถ้ามีโหนดใดโหนดหนึ่งในเครือข่ายเสียหาย ข้อมูลจะไม่สามารถส่งผ่านไปยังโหนดต่อไปได้ และจะทำให้เครือข่ายทั้งเครือข่ายขาดการติดต่อสื่อสารได้
ข้อเสียอีกอย่างหนึ่งคือขณะที่ข้อมูลถูกส่งผ่านแต่ละโหนด เวลาส่วนหนึ่งจะสูญเสียไปกับการที่ทุก ๆ รีพีตเตอร์จะต้องทำการคัดลอกข้อมูล และตรวจสอบตำแหน่งปลายทางของข้อมูล อีกทั้งการติดตั้งเครือข่ายแบบ RING ก็ทำได้ยากกว่าแบบ BUS และใช้สายสื่อสารมากกว่า
4. จงอธิบายความหมายและรายละเอียดของ (10 คะแนน)
* 10 base5
10Base5 หมายถึงระบบเครือข่ายที่มีความเร็ว 10 Mbps BASE หมายถึงการรับ-ส่งข้อมูลจะอยู่ในรูปแบบของ Baseband ส่วน 5 หมายถึงความยาวของสายสัญญาณที่ใช้รับส่งข้อมูล 500 เมตร ซึ่งสายสัญญาณที่ใช้ในเครือข่าย 10Base5 นี้ได้แก่สาย Coaxial อย่างหนา อุปกรณ์ที่ใช้ใน 10Base5 ต่อไปนี้เป็นชุดของอุปกรณ์ที่ใช้ส่งสัญญาณสำหรับเครือข่าย 10Base5
• Network Interface Card (NIC) หรือ LAN Card พร้อมด้วย Connector ที่เรียกว่า AUI Connector ขนาด 15 Pin
• สายที่ใช้เชื่อมต่ออุปกรณ์ Transceiver หรือที่เรียกว่าสาย AUI ที่ได้มาตรฐาน IEEE
• อุปกรณ์ 10Base5 Transceiver หรือที่เรียกว่า MAU อุปกรณ์นี้ใช้เชื่อมต่อกับสายสัญญาณรับส่งข้อมูล และต้องทำงานภายใต้มาตรฐาน IEEE
• 10Base5 Repeater พร้อมด้วย AUI Port ขนาด 15 Pin Network Interface Card (NIC) Ethernet NIC เป็น Card ที่ประกอบด้วยชุดของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีหน้าที่การทำงานหลายอย่างที่สำคัญบนเครือข่าย Ethernet ประกอบด้วยหน้าที่การทำงาน ดังต่อไปนี้
• จัดสร้าง Frame ของข้อมูลขึ้น รวมทั้งเอาข้อมูลไปไว้ใน Frame
• ตรวจสอบสายสัญญาณเพื่อดูว่า มีใครใช้สายอยู่หรือไม่ (สำหรับ 10Base-2)
• ตรวจสอบการชนกันของสัญญาณบนเครือข่าย (สำหรับ 10Base-2)
- 10baesT
10baesT 10 หมายถึง 10Mbps ส่วน T หมายถึง Twisted Pair ลักษณะนี้แสดงว่าเป็นระบบเครือข่ายEthernet ที่ใช้สายTwisted Pair เป็นสื่อในการส่งสัญญาณการเชื่อมต่อแบบ 10BaseT นั้นเป็นที่นิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากติดตั้งได้ง่าย และดูแลรักษาง่าย ความจริง 10BaseT ไม่ได้เป็น Ethernet โดยแท้ แต่เป็นการผสมระหว่าง Ethernet และ Tolopogy แบบ Star สายที่ใช้ก็จะเป็น สาย UTP และมีอุปกรณ์ตัวกลางเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างสายที่มาจากเครื่อง ทุกเครื่องในระบบเครือข่าย อุปกรณ์ตัวกลางนี้เรียกว่า HUB ซึ่งจะคอยรับสัญญาณระหว่าง เครื่อง Client กับเครื่อง Server ในกรณีที่มีสายจากเครื่อง Client ใดเกิดเสียหรือมีปัญหา สัญญาณไฟที่ปรากฏอยู่บน Hub จะดับลง ทำให้เราทราบได้ว่า เครื่อง Client ใดมีปัญหา และปัญหาที่เกิดขึ้น จะไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อระบบ Network เลย แต่ระบบนี้จะต้องทำการดูแลรักษา Hub ให้เป็นอย่างดี เนื่องจาก Hub มีปัญหา จะส่งผลกระทบ ทำให้ระบบหยุดชะงักลงทันที การเชื่อมต่อระบบเครือข่ายในลักษณะ 10BaseT นั้น เครื่องทุกเครื่องจะต้องเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ HUB โดยใช้สาย UTP ซึ่งเข้าหัวต่อเป็น RJ45 เสียบเข้ากับ HUB และ Card Lan ซึ่งจะเห็นว่า เครือข่ายแบบ 10BaseT นี้จะใช้อุปกรณ์ไม่กี่อย่าง ซึ่งต่างกับระบบเครือข่าย 10Base2 แต่อุปกรณ์ของ 10BaseT นั้นจะแพงกว่า
-10baesTX
10baesTX ถูกออกแบบมาบนพื้นฐานของมาตรฐาน TP-PMD(ANSI Develope Copper FDDI Physical Layer Dependent Sublayer Technology)มีคุณลักษณะการทำงานดังนี้ SEGMENT LENGTH: หรือขนาดความยาวสายของแต่ละ Segment ถ้าหากใช้สาย UTP ACAT-5 แบบ 2 PAIR จะได้ความยาวที่ 100 เมตร ภายใต้มาตรฐาน EIA/TIA 568 UTP ซึ่งเป็นมาตรฐานการเดินสายโดยมีคู่สายแรกใช้เพื่อ ส่งข้อมูล ส่วนอีกหนึ่งคู่สายสำหรับรับข้อมูล ชนิดของสายสัญญาณ : ความถี่ทางไฟฟ้าของ 10baesT คือ 20 MHZ ส่วนความถี่ทางไฟฟ้าสำหรับ10baesTX อยู่ที่ 125 MHZ แต่เนื่องจากมรการใช้วิธีการทาง MULITI-LEVEL TRANSMISSION-3 (MLT-3) WAVE Shapingเพื่อลดสัญญาณความถี่จาก125MHZ ลงมาเหลือ 41.6 MHZ ทำให้สามารถใช้ CAT-5UTP ได้สบาย นอกจากนี้ยังสามารถใช้สาย STP มาตรฐาน IBM TYPE 1 และ DB-9 Connector Connectors ที่ใช้ : เช่นเดียวกับ 10baesT คือ RJ-45
- 10baesFX
10baesFX ถูกออกแบบให้ใช้กับงานที่ต้องใช้สาย Fiber Optic หรือระบบ FDDI Techologyb สำหรับรับส่งข้อมูลผ่าน Back Bone ความเร็วสูงหรือเพิ่มระยะทางการเชื่อมต่อให้ยาวกว่าเดิม10baesFX คล้ายกันกับ 10baesTX ตรงที่มีการยืมเอามาตฐานทางด้าน Physical Layer 0าก ANSI X3T9.5 FDDI Physical LayerMedia Dependent(FIBER PMD) โดยมีการประยุกต์ใช้งานสาย Fiber Opticแบบ Multimode ขนาด 2-STRAND (62.5/125 nm) ขาดของความยาวสูงสุดของสาย fiber ที่ใช้เชื่อมต่อสามารถแปรผันได้
- 10baesT4
10baesT4 เป็นมาตรฐานใหม่ของ PHY ขณะที่ 10baesTX และ FX ทำงานบนพื้นฐานของเทคโนโลยี FDDI 10baesT4 ใช้ UTP Category3 10baesT4 ที่ใช้สาย UTP 4 Pair ที่ใช้กับ Voyce Drade CAT 3 ก็เพียงพอ 10baesT4 ใช้สาย PAIR ครบทั้ง 4 คู่ โดยมี 3 PAIR ใช้ในการส่งข้อมูลขณะที่คู่ที่ 4 ใช้เพื่อเป็นช่องรับเพื่อตรวจสอบ collision 10baesT4 ไม่เหมือนกับ10baesT และ 10baesTX ตรงที่ไมีมีการกำหนดแน่ชัดว่าสาย PAIR คู่ไหนใช้รับส่งข้อมูล ด้วยเหตุนี้จึงรับส่งข้อมูลแบบ full-duplex ไม่ได้ 10baesT4 ใช้ RJ-45 Connector 8 ขา ความยาวสูงสุดของ segment สำหรับ 10baesT4 คือ 100m และได้มาตรฐานการเดินสาย ELA-568 10baesT4 ใช้วิธีการเข้ารหัสแบบ 2b/6t ซึ่งทำงานได้ดีกว่า Manchester Encoding
5. IP private network คืออะไร มีหมายเลขใดบ้างที่อนุญาตให้ใช้งานได้ (5 คะแนน)
ตอบ Private Network คือ เน็ตเวิร์กส่วนตัว ซึ่งถูกแบ่งแยกออกมาจาก Public Network ตัว Public Network หรือที่เรียกว่า Internet หรืออภิมหาเครือข่าย ซึ่งต่อโยงเป็นใยกันไปทั่วโลกนั้นเองโดยปกติการต่อโยงของคอมพิวเตอร์ใน Public Network นั้นใช้โพรโตคอล TCP/IP ซึ่งเป็น Unique คือ เป็นกฎตายตัวว่าอุปกรณ์เครือข่าย (Network Device) แต่ละตัว ต้องมีเลข IP ที่ไม่ซ้ำกัน ถ้าซ้ำกันก็จะใช้งานไม่ได้เลย การเติบโตของกลุ่มเครือข่ายส่วนตัว (Private Network) ทำให้ต้องมีการกำหนด IP Address เฉพาะ ซึ่งเป็นข้อตกลงสากลที่กลุ่มเครือข่ายส่วนตัว (Private Network) สามารถนำเลข IP เหล่านี้ไปใช้ได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะซ้ำกับใคร
6. จงแปลงค่า ip address ต่อไปนี้ให้เป็น binary 32 bit (15 คะแนน)
50.60.89.125
ตอบ = 00110010.00111100.01011001.01111101
100.25.99.242
ตอบ = 01100100.00011001.01100011.11110010
85.22.75.5
ตอบ = 01010101.00010110.01001011.00000101
205.35.44.65
ตอบ = 11001101.00100011.00101100.01000001
200.29.30
ตอบ = 11001000.00011101.00000011.00000000
7. จาก CIDR ต่อไปนี้จงแสดงหมายเลข subnet mask พร้อมแสดง binary 32 bit (10 คะแนน)
/18 ตอบ = 11111111.11111111.11000000.00000000
/20 ตอบ = 11111111.11111111.11110000.00000000
/25 ตอบ = 11111111.11111111.11111111.10000000
/28 ตอบ = 11111111.11111111.11111111.11110000
/15 ตอบ = 11111111.11111110.00000000.00000000
8. IP address Class B และ C จากบิตที่ถูก mark เข้ามา ต่อไปนี้จงแสดงวิธีคำนวณ จำนวน subnet และ จำนวน hosts ต่อ subnt พร้อมทั้งแสดงคำตอบเป็นหมายเลข subnet mask และบอกจำนวน CIDR (20 คะแนน)
11111111.11111111.11111111.11100000
ตอบ hosts = 62 subnet = 6 subnet mask 255.255.255.224 CIDR = /27
11111111.11111111.11111111.11110000
ตอบ hosts = 14 subnet = 14 subnet mask 255.255.255.240 CIDR = /28
11111111.11111111.11111111.11111100
ตอบ hosts = 6 subnet = 62 subnet mask 255.255.255.252 CIDR = /30
11111111.11111111.11111000.00000000
ตอบ hosts = 2046 subnet = 30 subnet mask 255.255.248.0 CIDR = /21
11111111.11111111.11111110.00000000
ตอบ hosts = 510 subnet = 126 subnet mask 255.255.254.0 CIDR = /23
9.จงบอกรายละเอียดเกี่ยวกับ IP Adderss ให้ครอบคลุมและเข้าใจ (5 คะแนน)
ตอบ IP Address เปรียบเสมือน หมายเลขโทรศัพท์ ประจำบ้าน ของเครื่อง Computer ที่อยู่ใน Network แบบ TCP/IP (ซึ่งใช้กันแพร่หลายมากที่สุดในขณะนี้ รวมถึง Internet ด้วย) IP Address สำหรับเครื่องแต่ละเครื่องจะต้องไม่มีการซ้ำกัน ไม่เช่นนั้นการส่งข้อความอาจจะเกิดความผิดพลาดได้ เพราะข้อมูลที่รับส่งใน Network นั้นเปรียบเสมือน การพูดคุยทางโทรศัพท์ ระหว่าง เบอร์สองเบอร์ เครื่อง Computer ทุกๆเครื่องใน Network แบบ TCP/IP นั้นจะต้องมี IP Address ประจำตัวเสมอ ไม่มีไม่ได้ IPAddress ของแต่ละเครื่องเราสามารถ Set ได้เอง IP Address จะมีรูปแบบ
10. จงแสดงรหัส Ascii คำว่า "IaMa GiRI" (10 คะแนน)
ตอบ l=6C
a=61
M=4D
G=47
i=69
R=52
ดังนั้น laMa GiRl แปลงได้คือ 6C614D61 4769526C
ข้อสอบกลางภาควิชา การจัดการระบบเครือข่ายและการสื่อสารข้อมูล (3562104) 3/47
1. Protocal UDP ทำงานอยู่ Layes ใด
ก. 1
ข. 2
ค. 3
ง. 4.
2. Protocal IP ทำงานอยู่ Layes ใด
ก. 1
ข. 2
ค. 3.
ง. 4
3. 255.255.255.0 เป็น SubnetMask Default ของ Class ใด
ก. Claass A
ข. Claass B
ค. Claass C.
ง. Claass D
4. ข้อใดคืออักษร Z
ก. 0101101
ข. 10100111
ค. 01001010
ง. 01011010.
5. ข้อใดคืออักษร P
ก. 4B
ข. 4C
ค. 50.
ง. 54
6. ค่าเริ่มต้นของ a คือ
ก. 41
ข. 51
ค. 61.
ง. 91
7. ข้อใดคืออักษร d
ก. 64.
ข. 65
ค. 66
ง. 67
8. Topology ที่เป็น 10baseT ใช้การเชื่อมต่อแบบ
ก. BUS
ข. STAR.
ค. RING
ง. TREE
9. ในระบบ Ethernet IEEE802.3 ใช้ Protocal ใน Layer ที่ 2 คือ Protocal ใด
ก. TCP (Tranmission Prot)
ข. IP (Internet protocal)
ค. CSMA/CA
ง. CSMA/CD.
10. Port 21 ใช้กับ Application (โปรแกรม) ใด
ก. Talnet
ข. HTTP
ค. FTP.
ง. Rlogin
11. Port 80 ใช้กับ Application (โปรแกรม) ใด
ก. Talnet
ข. HTTP.
ค. FTP
ง. Rlogin
12. Port 23 ใช้กับ Application (โปรแกรม) ใด
ก. Talnet.
ข. HTTP
ค. FTP
ง. Rlogin
13. ทิศทางการสื่อสารข้อมูลที่สามารถส่งได้ทั่งไปและกลับพร้อมกันคือข้อใด
ก. Full Duplex.
ข. Half DuPlex
ค. Simplex
ง. ถูกทุกข้อ
14. สื่อสัญญาณชนิดใดที่มีราคาถูกที่สุด
ก. UTP.
ข. Coaxial
ค. Fiber Optic
ง. ถูกทุกข้อ
15. จากข้อ 14 สื่อสัญญาณชนิดใดที่เกิดการรบกวนจากสภาพภูมิอากาศแล้วมีผลกระทบมากที่สุด
ก. UTP.
ข. Coaxial
ค. Fiber Optic
ง. ถูกทุกข้อ
16. โครงข่ายแบบ แพคเกตสวิตซ์ (Packet Switch) ใช้กับเครือข่ายการสื่อสารข้อมูลข้อใด
ก. โทรศัพท์เคลื่อนที่
ข. โทรศัพท์สาธารณะ
ค. โทรเลข
ง. อินเตอร์เน็ต.
17. CSMA/CA ทำงานอยู่ที่ Layer ใดของ OSI Model
ก. 1
ข. 2.
ค. 3
ง. 4
18. CSMA/CD ทำงานอยู่ที่ Layer ใดของ OSI Model
ก. 1
ข. 2.
ค. 3
ง. 4
19. ไอพีเวอร์ชั่น 6 (IPV6) มีกี่บิต
ก. 16
ข. 32
ค. 64
ง. 128.
20. ไอพีเวอร์ชั่น 4 (IPV4) มีกี่บิต
ก. 16
ข. 32.
ค. 64
ง. 128
21. ค่าเริ่มต้นของ IPV4 Class C เริ่มจาก
ก. 191-233
ข. 192-233
ค. 191-223
ง. 192-223.
22. บิตเริ่มต้นของ IP Class B คือ
ก. 0
ข. 10.
ค.110
ง. 1110
23. บิตเริ่มต้นของ IP Class C คือ
ก. 0
ข. 10
ค.110.
ง. 1110
24. 192.168.0.0/27 มี subnet mask เท่าใด
ก. 255.255.255.0
ข. 255.255.255.240
ค. 255.255.255.224.
ง. 255.255.255.248
25. ใครเป็นคนสร้างมาตรฐาน OSI Model ขึ้นมา
ก. IEEE
ข. RFC
ค. ISO.
ง. CCITT
26. เครือข่ายแบบใดใช้สาย Coaxial
ก. Bus.
ข.Star
ค. Ring
ง. Mesh
27. บลูธูท (Bluetooth) จัดเป็นเทคโนโลยีใช้ในเครือข่ายแบบใด
ก. WAN
ข. MAN
ค. LAN
ง. PAN.
28. 255.255.254.0 มี CIDR เท่าใด
ก. /23.
ข. /24
ค. /25
ง. /26
29. 255.255.255.0 จาก Subnet ที่กำหนดให้ สามารถรองรับ Host ได้กี่ Host
ก. 126 Host
ข. 250 Host
ค. 254 Host.
ง. 255 Host
30. 255.255.255.128 จากSubnet ที่กำหนดให้ สามารถรองรับ Host ได้กี่ Host
ก. 124 Host
ข. 126 Host.
ค. 1022 Host
ง. 2046 Host
31. 11111111.11111111.11111111.11000000 จาก Binary Bit ที่กำหนดให้ รองรับได้กี่ Subnet
ก. 2 Subnet.
ข. 4 Subnet
ค. 6 Subnet
ง. 8 Subnet
32. 11111111.11111111.11111111.11100000 จาก Binary Bit ที่กำหนดให้ รองรับได้กี่ Host
ก. 6 Host
ข. 14 Host
ค. 30 Host.
ง. 62 Host
33. 11111111.11111111.11111111.11110000 จาก Binary Bit ที่กำหนดให้ รองรับได้กี่ Host
ก. 6 Host
ข. 14 Host.
ค. 30 Host
ง. 62 Host
34. IP Address Class A มีกี่เปอร์(%) ของ IP ทั่วโลก
ก. 12.5 %
ข. 25 %
ค. 45 %
ง. 50 %.
35. หมายเลข NET และHOST ที่ถูกต้องของ Class C
ก. N.N.N.H.
ข. N.N.H.H
ค. H.H.H.N
ง. H.H.N.N
36. 192.168.0.0/24 จะได้ค่า Subet Mask ค่าใด
ก. 255.255.254.0
ข. 255.255.255.0.
ค. 255.255.255.192
ง. 255.255.255.248
37. IP Private Network Class A คือข้อใด
ก. 192.168.0.0
ข. 127.0.0.1
ค. 172.16.0.0
ง. 10.0.0.0.
38. OSI มีกี่ Layer
ก. 5 Layer
ข. 6 Layer
ค. 7 Layer.
ง. 8 Layer
39. Layer บนสุดเรียกว่า
ก. Physical Layer
ข. Datalink Layer
ค. Pressentation Layer
ง. Application Layer.
40. . IP Address ทำงานอยู่ที่ Layer ใด
ก. Layer 1
ข. Layer 2
ค. Layer 3.
ง. Layer 4
ตอนที่ 2
1. จงแสดงวิธีทำการแปลค่าไอพีแอสเดรสที่กำหนดให้ต่อไปนี้เป็น Binary ( ฐาน 2)
1. 205.102.100.55. (5 คะแนน)
ตอบ 11001101.01100110.01100100.00110111
2. 68.99.56.60. (5 คะแนน)
ตอบ 01000101.01100011.0011100.00111100
3. 39.200.109.109. (5 คะแนน)
ตอบ 00100111.11001000.01101101.01101101
4. 22.165.10.0 (5 คะแนน)
ตอบ 00010110.10100101.000001010.0
5. 111.11.25.2 (5 คะแนน)
ตอบ 01101111.00001011.00011001.00000010
2. แสดงการคำนวน หมายเลข Subnet mask จาก CIDR ที่กำหนดให้ต่อไปนี้
1. /14 ( 3 คะแนน)
ตอบ 255.252.0.0
2. /20 ( 3 คะแนน)
ตอบ 255.255.240.0
3. /22 ( 3 คะแนน)
ตอบ 255.255.252.0
4. /25 ( 3 คะแนน)
ตอบ 255.255.255.128
5. /29 ( 3 คะแนน)
ตอบ 255.255.255.248
3. จงแสดงวิธีคำนวน Subnet และจำนวน host จาก bit ที่ mask เข้ามาดังนี้
1. Class A, mask เข้ามา 4 บิต ( 3 คะแนน)
ตอบ 11111111.11110000.00000000.00000000 Subnet = 14 host= 1048574
2.Class B, mask เข้ามา 4 บิต ( 3 คะแนน)
ตอบ 11111111.11111111.11111100.00000000 Subnet = 34 host= 1022
3.Class C, mask เข้ามา 4 บิต ( 3 คะแนน)
ตอบ 11111111.11111111.11111111.11100000 Subnet = 6 host= 30
4. จงวาดรูปโครงสร้างของ OSI model พร้อมอธิบายหน้าที่การทำงานของแต่ละ Layer (10 คะแนน)
ตอบ
Layer 7:Application ...........โปรโตคอล Application...........Application
Layer 6:Persentation ........ โปรโตคอล Presentation .......Presentation
Layer 5:Session .................โปรโตคอล Session...............Session
Layer 4:Transport ...............โปรโตคอล .....................Transport
Layer 3:Network ..................Transport ........................Network
Layer 2:Data Link ...............โปรโตคอล Network .........Data Link
Layer 1:Physical .................โปรโตคอล Data ................Physical
สรุปหน้าที่ของแต่ละ Layer
OSI LAYER
หน้าที่ของแต่ละชั้น
APPLICATION
เป็นชั้นการทำงานของซอฟท์แวร์ประยุกต์ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบเครือข่าย เช่น การส่งผ่านแฟ้มข้อมูล การจำลอง terminal การแลกเปลี่ยนข้อมูล เป็นต้น
PRESENTATION
เป็นชั้นการทำงานของระบบรักษาความลับและการเปลี่ยนแปลงข้อมูลรูปแบบต่างๆ ให้สามารถแลกเปลี่ยนกันได้ เช่น แปลงระหว่าง EBCDIC กับ ASCII หรือการแปลงข้อมูลรหัสจบบรรทัดระหว่างระบบ UNIX กับ MSDOS เป็นต้น
SESSION
รับผิดชอบการควบคุมการติดต่อและการประสานของข้อมูลที่ส่งผ่านระบบเครือข่าย เช่น การตรวจสอบลำดับก่อนหลังที่ถูกต้องของ Packet เป็นต้น
TRANSPORT
เป็นชั้นที่รับผิดชอบการส่งถ่ายข้อมูลระหว่างจุด จะทำการตรวจสอบสามชั้นล่างว่ามีการทำงานที่ถูกต้อง และทำการส่งผ่านข้อมูลให้ชั้นที่สูงกว่าโดยซ่อนวิธีการทำงานที่
เกิดขึ้นจริงในสามชั้นล่างไว้โดยปกติแล้วนับจากชั้นนี้ถึงชั้นบนสุดจะอยู่ในซอฟต์แวร์ประยุกต์ทางด้านเครือข่ายตัวเดียวกัน ในขณะที่ชั้นที่ต่ำกว่านี้เป็นส่วนจัดการเครือข่ายซึ่งขึ้นกับชนิดของระบบเครือข่ายที่ใช้งานอยู่
NETWORK
เป็นชั้นที่ทำการตรวจสอบการส่งข้อมูลผ่านเครือข่าย เช่น เวลาที่ใช้ในการส่ง การส่งต่อ (routing) และการจัดการลำดับ (flow control) ของข้อมูล
DATA LINK
เป็นชั้นที่รับผิดชอบการนำข้อมูลเข้าและออกจากตัวกลาง การจัดเฟรม การตรวจสอบและจัดการข้อผิดพลาดของข้อมูล (error detection correction and retransmission) ในชั้นนี้จะมีการแบ่งออกเป็น 2 ชั้นย่อย (sub-layers) คือ LIC (Logical Link Control) จะอยู่ในครึ่งบน รับผิดชอบในเรื่องการตรวจสอบข้อผิดพลาด และ MAC (Media Access Control) อยู่ในครึ่งล่าง เป็นส่วนของวิธีส่งข้อมูลผ่านสื่อกลาง
PHYSICAL
จะเป็นชั้นการทำงานทางกายภาพของระบบการเชื่อมต่อ ทั้งในส่วนของสัญญาณทางไฟฟ้า ระบบสายสัญญาณ (cable) และตัวเชื่อม (connector)
โจทย์ จงเลือกคำตอบ A-N จากคอลัมน์ตัวเลือกมาเติมลงในคอลัมภ์คำตอบให้ถูกต้อง (10 คะแนน)
โจทย์ :จงกาเครื่องหมาย ลงหน้าข้อที่ถูกและเครื่องหมาย ลงหน้าข้อที่ผิด
_______ 1. IPAdress ClassAมีhost สูงสุด 16,777,216-2 host
_______ 2. Subnet mask Defualt Class B=255.255.192.0
_______ 3. การตรวจสอบ Subnet เดียวกันจะใช้วิธี XOR
_______ 4. การต่อสาย UTP แบบไขว้ใช้สำหรับการต่อแบบคอมพิวเตอร์ไปยังคอมพิวเตอร์
_______ 5. CIDR /24 จะสามราถ Broadcast host ได้ถึง 254 host
_______ 6. IEEE802.11คือเครือข่าย WMAN
_______ 7. IPAdress ทำงานอยู่ที่ Leyer 4 ของ OSI Model
_______ 8. เครือข่าย Internetเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เครือข่ายแบบ Curcuit Switch
_______ 9. Leyer ที่ 3ของ OSI มี Router ทำงานอยู่
_______10. Fast Ethernet มีความเร็ว 1000 mbps
เฉลย
1. ถูก
2. ผิด
3. ถูก
4. ถูก
5. ถูก
6. ผิด
7. ผิด
8. ถูก
9. ถูก
10. ผิด
โจทย์:จงเลือกคำตอบ A-N จากคอลัมน์ตัวเลือกมาเติมลงในคอลัมคำตอบให้ถูกต้อง (10 คะแนน)
__K_____ 1. CLASS A.......................... A โครงข่ายแบบ Message Switch
__I______ 2.CLASSS B......................... B STAR
__G_____ 3. CLASS C..........................C RING
__H_____ 4. 10 BASE2.........................D CSMA
__B_____ 5. 100BASET..........................E CSMA/CD
__O_____ 6. 1110.................................... F CSMA/CA
__F_____ 7. WLAN..................................G 21.25.0.0
__E_____ 8.Ethernet................................H FIBER
__L_____ 9. 128 Bit..................................I 192.25.0.0
__N____ 10. 2*8 ......................................J Tick Coax
..........K 25.254.2.120
........ .L IP V6
.........M 256
......... N 254
..........O Start Bit Class C